โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

'น้ำท่วมใต้' สะเทือนโลจิสติกส์ แนะประเมินความเสี่ยง-ปรับกลยุทธ์ซัพพลายเชนยืดหยุ่นสู้วิกฤต

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

คอลัมน์: สัมภาษณ์พิเศษ ผู้เขียน: สุวัฑ แซงลาด

สถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ระลอกล่าสุด ไม่เพียงสร้างความเสียหายทางกายภาพต่อบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร แต่กำลังส่งแรงสั่นสะเทือนรุนแรงต่อ ‘เส้นเลือดใหญ่’ ทางเศรษฐกิจของภูมิภาค นั่นคือระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.จรรยา ชาญชัยชูจิต ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างยั่งยืน คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบและจัดทำระบบโลจิสติกส์ เพื่อวิเคราะห์เจาะลึกถึงผลกระทบ มูลค่าความเสียหาย จุดเปราะบางเชิงโครงสร้าง และโรดแมปการฟื้นฟูเพื่อให้เศรษฐกิจภาคใต้ก้าวข้ามวิกฤตซ้ำซากนี้ได้อย่างยั่งยืน

มุมมองผลกระทบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนโดยรวม

รศ.ดร.จรรยา ประเมินว่า น้ำท่วมครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนหลักของภาคใต้ทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย 4 กลุ่มหลัก คือ

1. ภาคการเกษตรและเกษตรแปรรูป: โดยเฉพาะยางพารา ปาล์มน้ำมัน ผัก ผลไม้ และสินค้าเกษตรสดที่ต้องอาศัย ‘จังหวะเวลา’ ทั้งในการเก็บเกี่ยวและขนส่ง

2. ภาคอาหารทะเลสดและอาหารทะเลแปรรูป: สินค้ากลุ่มนี้มีมูลค่าเพิ่มสูง (perishable product) แต่ก็ไวต่อเวลาและอุณหภูมิอย่างมาก การล่าช้าของขนส่งหรือคลังที่เข้าถึงยาก ทำให้ต้องทิ้งหรือขายในราคาต่ำลง

3. ภาคค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ: โดยเฉพาะธุรกิจที่พึ่งพาการจัดส่งตรงเวลา ลูกค้าไม่ได้รับสินค้าในกำหนด เกิดคำร้องเรียน การคืนสินค้า

4. ภาคขนส่งและโลจิสติกส์: ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และ SMEs ได้รับผลจากต้นทุนต่อเที่ยวที่สูงขึ้น วิ่งอ้อม เสี่ยงต่อความเสียหายของยานพาหนะ และต้องบริหารเส้นทางใหม่ตลอดเวลา

ทั้งนี้ หากมองภาพรวมเชิงโครงสร้าง ภาคเกษตรและอาหารคือกลุ่มที่ ‘เปราะบาง’ ที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับเกษตรกรรายย่อยจำนวนมาก

แบ่งความเสียหายออกเป็น ทางตรง และทางอ้อม ดังนี้

ความเสียหายทางตรง

เกิดจากความเสียหายโดยตรงต่อสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากน้ำท่วมตัวคลังสินค้า ทำให้สินค้าที่เก็บรอส่งมอบเสียหาย รวมถึงวัตถุดิบและสินค้าที่เสียหายขณะขนส่งที่อยู่บนรถ ซึ่งทำให้สินค้าเสียหายใช้การไม่ได้

ผลกระทบรุนแรงในช่วงปลายปี: ช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม จะกระทบมากกว่าช่วงอื่น เพราะเป็นช่วงที่บริษัทต่าง ๆ ในซัพพลายเชนหลักเหล่านี้ (เช่น เกษตรและเกษตรแปรรูป อาหาร และอีคอมเมิร์ซ) เก็บสต๊อกเยอะและเพิ่มกำลังการผลิตสูง เพื่อเตรียมสินค้าสำหรับ เทศกาลปีใหม่และต่อเนื่องไปถึงตรุษจีน

คำสั่งซื้อส่งออก: สินค้าส่งออก เช่น ถุงมือยาง อาหารทะเลแปรรูป ผักผลไม้ ช่วงนี้มีออเดอร์เยอะกว่าปกติ เนื่องจากคู่ค้าต่างประเทศ (เช่น ยุโรป) จะหยุดยาวตั้งแต่ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ ทำให้มีการสั่งตุนสินค้าไว้ล่วงหน้า ดังนั้น ความเสียหายในช่วงนี้จึงเยอะกว่าปกติมาก

ความเสียหายทางอ้อม

การขนส่งล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้น: โครงข่ายถนนสายหลักและสายรองหลายจุดใช้งานไม่ได้ ทำให้ Lead time (ระยะเวลารอคอยสินค้า) ถูกยืดออกไป และต้นทุนสูงขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนเส้นทางหรือเลื่อนการส่งมอบ

การผลิตหยุดชะงัก: โรงงานหลายแห่งถูกน้ำท่วม (Production Plant) ต้องหยุดการผลิตในช่วงที่เป็น High Season

ผลกระทบลูกโซ่จากวัตถุดิบ: สินค้าบางอย่างผลิตไม่ได้เพราะวัตถุดิบต้นน้ำถูกน้ำท่วม แม้โรงงานจะยังสามารถผลิตได้ก็ตาม ผลกระทบนี้จะเกิดเป็นลูกโซ่ ทำให้ความเสียหายทางอ้อมสะสมกลายเป็น ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ” จากการที่สินค้าผลิตไม่ได้, เกิด Backlog, ต้องยกเลิกคำสั่งซื้อ

การขาดโอกาสทำกำไร: หากไม่สามารถผลิตได้ในช่วง High Season โอกาสในการทำกำไรก็จะไม่มีเลย เนื่องจากผู้ซื้อ/ลูกค้าจำเป็นต้องไปหาซัพพลายเออร์จากที่อื่นมาทดแทน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ที่ประเทศอื่น ๆ ก็จะขายดีเป็นพิเศษ หากภาคใต้ผลิตและส่งออกไม่ได้ ลูกค้าก็จะไปซื้อกับเจ้าอื่นทันที

“ในเชิงมูลค่า ถ้าเรารวมเฉพาะสินค้าหลักอย่างยางพารา ปาล์ม และอาหารทะเล จากจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนัก ความเสียหายอาจอยู่ในระดับ หลายร้อยล้านถึงหลักพันล้านบาท เฉพาะในช่วงวิกฤตไม่กี่สัปดาห์ และถ้ามีการสะสมสต็อกมากหรือล่าช้าต่อเนื่อง ตัวเลขก็จะสูงขึ้นอีกค่ะ สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากไม่มีอำนาจต่อรอง และไม่มีระบบประกันความเสี่ยง ทำให้รับภาระส่วนใหญ่ของความเสียหายค่ะ” รศ.ดร.จรรยา กล่าว

เจาะลึกจุดเปราะบางที่เห็นได้ชัดเจนในซัพพลายเชนภาคใต้

รศ.ดร.จรรยา ระบุว่า จุดเปราะบางหลักมี 2 ประเด็น คือ 1. ความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐาน (Logistics Infrastructure Vulnerability) ที่ไม่รองรับความเสี่ยงทางด้านภูมิอากาศ (Climate Risk) และ 2. การที่ซัพพลายเชนหลักไม่ได้ทำแผนความเสี่ยงและความยืดหยุ่น ซึ่งสามารถขยายเป็น 3 ด้านใหญ่ ดังนี้:

1.การพึ่งพาการขนส่งทางถนนเป็นหลัก

ภาคใต้เป็นเส้นทางตรงยาวลงมา (จากภาคอื่นสู่ใต้และไปยังมาเลเซีย/สิงคโปร์) ทำให้เมื่อเกิดการตัดขาดก็จะกลายเป็น ‘คอขวด’ ทันที ไม่มีรูปแบบการขนส่งอื่นที่มีศักยภาพเพียงพอ มาเป็นทางเลือก

ข้อเสนอแนะ: ต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Multi-modal (รถไฟ, เรือชายฝั่ง, อากาศ) ให้มีศักยภาพเทียบเท่าถนน ซึ่งไม่ใช่แค่รับมือภัยพิบัติ แต่ยัง ลดต้นทุน และเป็นโหมดการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม) ในระยะยาว

2.ระบบคลังสินค้าและสินค้าคงคลังแบบรวมศูนย์

ธุรกิจส่วนใหญ่ใช้คลังสินค้าขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวในการกระจายสินค้าทั่วภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งมีข้อดีคือลดต้นทุนการจัดเก็บ แต่มีความเสี่ยงสูงมากหากเกิดภัยพิบัติ

ข้อเสนอแนะ: ต้องปรับสู่แนวคิด Decentralized Warehouse ซึ่งเป็นคลังขนาดเล็กหลายแห่งกระจายความเสี่ยง และมีการบริหาร Inventory โดยมี Safety Stock ที่มี Risk Mitigation เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยต้องวิเคราะห์ Trade-off ระหว่าง Cost กับ Risk ด้วย

3.ขาดการบริหารจัดการความเสี่ยงและความยืดหยุ่น

ธุรกิจในภาคใต้ส่วนใหญ่ยังขาดการทำ Supply Chain Risk and Resilience Plan (การประเมินความเสี่ยงและแผนความยืดหยุ่นของซัพพลายเชน) ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งหลังวิกฤต COVID-19 และความเสี่ยงจาก Geopolitics/ภัยพิบัติ

ข้อเสนอแนะ: ต้องเร่งกระบวนการวิเคราะห์ความเสี่ยงและวางแผนเพื่อให้เครือข่ายซัพพลายเชนสามารถ ‘รับมือ ฟื้นตัว และปรับตัว’ ได้เมื่อเกิดการหยุดชะงัก

มูลค่าความเสียหายเชิงเศรษฐกิจและผลกระทบต่อต้นทุน

รศ. ดร.จรรยา ยอมรับว่าการประเมินตัวเลขที่แน่นอน เป็นเรื่องยาก แต่หากประเมินภาพรวมความเสียหายทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย มูลค่าสินค้าที่ถูกน้ำท่วม, โรงงาน/เครื่องจักรที่เสียหาย, ความเสียหายระยะสั้นจากรายได้ที่ขาดหายไป, และความเสียหายเชิงโอกาสในระยะกลางและระยะยาว ตัวเลขความเสียหายอาจอยู่ในระดับ “พันล้านจนถึงหมื่นล้านบาท”

ต้นทุนเชิงโครงสร้าง: สิ่งที่สำคัญคือ เหตุการณ์นี้ทำให้เกิด ต้นทุนเชิงโครงสร้าง” ที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับ โดยเฉพาะจากการปรับระบบเพื่อรองรับความเสี่ยง (เช่น การเปลี่ยนเป็น Decentralized Warehouse ที่ทำให้ต้นทุนการเก็บสินค้าเพิ่มขึ้น) ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้จะถูกผู้ประกอบการ Absorb และสุดท้ายจะถูกผลักไปยังผู้บริโภคในราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

สินค้ากลุ่มเปราะบาง: สินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอาหารทะเลสด ได้รับความเสียหายหนักเป็นพิเศษ เพราะเป็น สินค้าเน่าเสียได้ (Perishable) และมีอายุสั้น เมื่อสินค้าเสียหายในลอตนี้ ต้องรอวัตถุดิบในรอบใหม่ ทำให้การผลิตขาดความต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อการขนส่งข้ามแดน: การส่งออกผ่านชายแดนไทย-มาเลย์ได้รับผลกระทบสูงมาก เนื่องจากเป็นการขนส่งทางถนนเป็นหลัก ทั้งสินค้าเกษตร ผัก ผลไม้ อาหาร และโดยเฉพาะสินค้ามูลค่าสูงที่ขนส่งเป็นคอนเทนเนอร์ เช่น ยางพารา ที่มีมูลค่าต่อตู้ 2-3 ล้านเหรียญสหรัฐ การหยุดชะงักจึงทำให้เกิดความเสียหายและผลกระทบสูง

ด่านชายแดนไทย–มาเลเซีย เช่น ด่านสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการค้าชายแดนและการส่งออกไปยังมาเลเซียและต่อเนื่องไปยังสิงคโปร์ เมื่อการขนส่งจากฝั่งไทยไปด่านล่าช้าหรือไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ตามปกติ เมื่อตู้คอนเทนเนอร์บางส่วนเช่นยางพาราที่จะผ่านไปท่าเรือปีนัง หรือกลาง ที่มาเลเซียต้องเลื่อนกำหนดส่งที่ต้องเข้าตารางเรือหรือรถไฟต่อ มีความเสี่ยงเสียโอกาสทางการค้า” รศ. ดร.จรรยากล่าว

ภาระต้นทุนโลจิสติกส์ในอนาคตและการช่วยเหลือ SME

ต้นทุนโลจิสติกส์ในอนาคต: รศ.ดร.จรรยา ชี้ว่า ต้นทุนโลจิสติกส์ในอนาคตของซัพพลายเชนภาคใต้มีแนวโน้มสูงขึ้น จากการที่ผู้ประกอบการต้องออกแบบระบบเพื่อรองรับความเสี่ยง เช่น การปรับ Inventory, การนำเข้าวัตถุดิบทางท่าเรือมาเลเซียแทนการลากลงมาจากแหลมฉบังเพื่อเลี่ยงความเสี่ยงในการขนส่ง

ข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล: ภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนให้เกิดรูปแบบการขนส่งที่หลากหลายมากขึ้น (รถไฟ, ท่าเรือชายฝั่ง) ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีความมั่นใจในการขนส่ง และพิจารณาใช้มาตรการลดราคา Air Freight (Air Cargo) ในช่วงวิกฤตเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ

ภาระต่อ SME: ผู้ประกอบการ SME ได้รับภาระต้นทุนสูงกว่า Big Corp อย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทขนาดใหญ่มักมีแผนความเสี่ยง, มีการกระจายคลังสินค้า/เส้นทางขนส่ง, มีประกันภัย, และมีเครือข่ายซัพพลายเชนที่แข็งแรงกว่า (เช่น มีโรงงานหรือพันธมิตรในต่างประเทศที่ผลิตทดแทนได้) ในขณะที่ SME ขาดแผนการกระจายความเสี่ยง และมีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องหรือกระแสเงินสด

แนะรัฐลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน – เอกชนมุ่งสู่ Sustainability

เมื่อถามถึงแนวทางฟื้นฟูเชิงโครงสร้างที่ภาครัฐควรเร่งทำ รศ.ดร.จรรยา เน้นการตอบในระยะยาวและเชิงโครงสร้างโดยสิ่งที่ภาครัฐควรดำเนินการและสนับสนุน มีดังนี้:

1.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์แบบ Multi-modal: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ เพื่อรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multi-modal) ให้มีความพร้อม ได้แก่ การขนส่งผ่านรถไฟ, การขนส่งทางท่าเรือชายฝั่ง, และการขนส่งทางอากาศ สำหรับสินค้าบางประเภท

2.สนับสนุน Hub และ Warehouse ที่ยืดหยุ่น: ภาครัฐอาจสนับสนุนการจัดตั้ง นิคมคลังสินค้า ที่ออกแบบโครงสร้างให้มีความยืดหยุ่นสูง เพื่อรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ

3.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล (Digital Infrastructure): เชื่อมโยงข้อมูลกับภาครัฐ เช่น การพยากรณ์อากาศ, ข้อมูลการปิดเส้นทางถนน เพื่อใช้ในการปรับแผนการเก็บสต๊อกสินค้าและเปลี่ยนแผนการขนส่ง

ผลลัพธ์จากโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จะตอบโจทย์ใน 3 มิติ คือ ลดต้นทุน, ลดความเสี่ยง/เพิ่มควาสามารถทางการแข่งขัน, และลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม (Sustainable Supply Chain Design)

“ในระยะยาวภาครัฐต้องเป็นเจ้าภาพในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ทั้งระบบราง และท่าเรือชายฝั่งให้มีประสิทธิภาพเทียบเท่าทางถนน เพื่อเป็นทางเลือกเมื่อเกิดภัยพิบัติและช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ในภาวะปกติ รวมถึงการสนับสนุนการจัดตั้งนิคมคลังสินค้าที่มีมาตรฐานการออกแบบรองรับความเสี่ยงทางภูมิอากาศ และการเชื่อมโยงข้อมูลดิจิทัล เช่น สภาพอากาศและเส้นทางจราจรแบบ Real-time ให้ภาคเอกชนนำไปใช้ประโยชน์

ในส่วนของภาคเอกชน จำเป็นต้องปรับตัวสู่โมเดล Sustainable and Resilient Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนและยืดหยุ่น โดยต้องเริ่มจากการประเมินความเสี่ยง เพื่อหาจุดอ่อนของธุรกิจ ปรับเปลี่ยนระบบจากคลังสินค้ารวมศูนย์สู่การกระจายศูนย์ นำเทคโนโลยีมาช่วยให้มองเห็นภาพรวมของซัพพลายเชน เพื่อให้สามารถปรับแผนได้ทันท่วงที ซึ่งการปรับตัวเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติ แต่ยังสอดรับกับมาตรการสิ่งแวดล้อมโลกและช่วยลดต้นทุนได้ในระยะยาว” รศ.ดร.จรรยากล่าว

การปรับตัวของซัพพลายเชนภาคใต้สู่ยั่งยืนและยืดหยุ่น

รศ.ดร.จรรยา กล่าวย้ำว่า ซัพพลายเชนภาคใต้ควรมีการปรับตัวให้เป็น Sustainable and Resilient Supply Chain ภายใต้ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศที่แปรปรวน โดยจะต้องดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ เช่น

1. ออกแบบเครือข่ายการขนส่งแบบกระจายความเสี่ยง: ปรับ Supply Chain Network ให้มีการกระจายความเสี่ยง ด้วยรูปแบบการขนส่งที่หลากหลาย และมี Hub มากกว่า 1 Hub

2. ลงทุนในเทคโนโลยีและข้อมูล: เช่น ระบบติดตามรถและสินค้าแบบ Real-time การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความเสี่ยง ทั้งด้านอุปสงค์และด้านภัยพิบัติ

3. ปรับรูปแบบการผลิตและสต็อกให้ยืดหยุ่น: ใช้แนวคิด Decentralized Warehouse หรือการกระจายสต็อกในหลายพื้นที่ เพื่อลดความเสี่ยงจากการที่คลังใดคลังหนึ่งใช้การไม่ได้

4. บูรณาการด้านสิ่งแวดล้อมในซัพพลายเชน: เช่น การใช้ยานยนต์ประหยัดพลังงานหรือพลังงานทางเลือก การปรับเส้นทางให้ทั้งลดระยะทางและลดความเสี่ยงน้ำท่วม

“ท้ายที่สุดการทำซัพพลายเชนให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน ไม่ใช่ต้นทุนที่สูญเปล่า แต่เป็นการ ‘ลงทุนเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน’ ในยุคที่ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศจะอยู่กับเราไปอีกนาน” รศ.ดร.จรรยา กล่าว

มอ.กับบทบาทศูนย์เชี่ยวชาญ พร้อมหนุนผู้ประกอบการฝ่าวิกฤต

รศ.ดร.จรรยา กล่าวในช่วงท้ายถึงบทบาทของ ‘ศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างยั่งยืน คณะการจัดการสิ่งแวดล้อม มอ.’ ว่า มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบและพัฒนาระบบโลจิสติกส์และซัพพลายเชนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความสามารถในการแข่งขัน และความยั่งยืน

โดยเน้นการบริหารความเสี่ยงและความยืดหยุ่นของเครือข่าย รวมถึงการวางแผนกลยุทธ์สู่ Sustainable & Net Zero Supply Chain ผ่านการวิเคราะห์ Risk – Resilience – Business Model – Decarbonization สำหรับการนำไปใช้ได้จริงทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐ ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชน ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ และ SMEs ผ่านโครงการวิจัย การให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค และการจัดอบรมกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์รวมถึงซัพพลายเชนสินค้าเกษตรต่างๆ เช่น ยางพารา

ศูนย์การจัดการโลจิสติกส์และซัพพลายเชนอย่างยั่งยืนมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายระดับภูมิภาค เพื่อเปลี่ยนองค์ความรู้จากงานวิจัยไปสู่การใช้งานจริงในภาคธุรกิจเพื่อช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ของไทยและภูมิภาคให้พร้อมรับมือความท้าทายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตาม ปฎิธานของศูนย์ “We aim to turning research into real-world solutions”

“เราพร้อมนำองค์ความรู้ งานวิจัย และเครื่องมือทางเทคโนโลยี มาช่วยยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการภาคใต้ ให้สามารถก้าวผ่านข้อจำกัดและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น” รศ.ดร.จรรยา กล่าวทิ้งท้าย

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘น้ำท่วมใต้’ สะเทือนโลจิสติกส์ แนะประเมินความเสี่ยง-ปรับกลยุทธ์ซัพพลายเชนยืดหยุ่นสู้วิกฤต

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...