โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างสันติภาพ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 21 พ.ค. 2567 เวลา 06.58 น. • เผยแพร่ 21 พ.ค. 2567 เวลา 06.54 น.
(Photo by PORNCHAI KITTIWONGSAKUL / AFP)

เร็วๆ นี้ผมมีโอกาสไปร่วมในโครงการสัมมนา “การมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้” จัดโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษา และเสนอแนวทางส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพเพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของสภาผู้แทนราษฎร

โดยมีความเห็นว่าเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบดังกล่าว “การรับฟังจากกลุ่มประชาชนที่ประสบเหตุการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลานาน คงจะสะท้อนสภาพปัญหา มุมมอง กำเนิดแนวคิดที่จะให้สภาผู้แทนราษฎรสะท้อนความคิดเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างสันติภาพให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ไปยังรัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง”

น่าสนใจว่าเป็นครั้งแรกที่สภาผู้แทนราษฎรลงมาเกาะติดและตั้งใจนำข้อคิดและข้อมูลจากภาคประชาชนเพื่อไปกำหนดมาตรการทางกฎหมายในการสร้างสันติภาพต่อไป

นายจาตุรนต์ ฉายแสง พรรคเพื่อไทย เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้

มีนายนัจมุดดีน อูมา แห่งพรรคภูมิใจไทย เป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ

พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา พรรคภูมิใจไทย เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการวิสามัญฯ

และมีนายนัจมุดดีน อูมา เป็นรองประธานฯ

รูปแบบหลักที่ใช้ในการสัมมนาครั้งนี้คือ ภาคเช้าเป็นการบรรยายโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิสองท่านในหัวข้อ “ความเป็นมาของความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้” โดยมีผมและอาจารย์ ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นวิทยากร

หัวข้อที่สองคือ “หัวข้อเกี่ยวกับการพูดคุยกระบวนการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้”

โดยรองศาสตราจารย์มารค ตามไท แห่งมหาวิทยาลัยพายัพ ผู้มีประสบการณ์ในกระบวนการพูดคุยมาก่อนเป็นวิทยากรกับนายรอมซี ดอฆอ ซึ่งเป็นอนุกรรมการพิจารณาศึกษาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมฯ

กล่าวโดยรวมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในความเห็นของผู้เข้าร่วมการสัมมนา ซึ่งมีทั้งภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ข้าราชการ นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไป ทั้งหญิงและชาย ในวัยที่หลากหลายจากหนุ่มสาวไปถึงผู้อาวุโส

ลักษณะเด่นของการแสดงออกคือการเปิดกว้างและรับฟังถึงที่มาและจุดสร้างความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรง ส่วนใหญ่ต้องการสันติภาพและความสงบที่สามารถแลกเปลี่ยนความเห็นต่างกันได้

เป็นบรรยากาศและการอภิปรายในปัญหาความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ที่ไม่เหมือนก่อนโน้น ซึ่งมักจัดกันแต่เฉพาะในพื้นที่โดยเฉพาะในปาตานี ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ วิทยากรส่วนใหญ่มาจากกรุงเทพฯ ความหลากหลายจึงมีน้อย และบรรยากาศของความอึมครึมและไม่วางใจในสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้การแสดงออกและการแลกเปลี่ยนไม่อาจเป็นไปอย่างเสรีและไม่มีขีดจำกัดได้

ที่สำคัญตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าการเจรจาระหว่างขบวนการฯ กับฝ่ายรัฐจะสามารถเกิดขึ้นมาได้

แต่เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จัดให้มีการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้แทนฝ่ายความมั่นคงไทยกับตัวแทนขบวนการฯ ได้ รู้สึกได้ว่าบรรยากาศค่อยเปลี่ยนไปสู่แนวทางที่จะหันหน้ามาสู่การเจรจากันได้

ผมจึงสนใจหัวข้อว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพในชายแดนใต้ของอาจารย์มารค ตามไท อย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังคำบรรยายและคำบอกเล่าของอาจารย์หลายครั้งทำให้เกิดความเข้าใจในกระบวนการพูดคุยนี้มากขึ้น

หลายเรื่องเป็นข้อมูลที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเนื่องจากเป็นข้อมูลลับของหน่วยงานความมั่นคงและคณะทำงานไม่สามารถเปิดเผยต่อภายนอกได้

ในระหว่างการสัมมนา อาจารย์มารคซึ่งยังมีตำแหน่งเป็นผู้สังเกตการณ์ในการเจรจาระหว่างผู้แทนฝ่ายไทยกับฝ่ายขบวนการ ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว ไม่ต้องการทำให้เกิดความขัดแย้งในบทบาทของวิทยากรที่อภิปรายกระบวนการพูดคุยต่อที่ประชุมสาธารณะ อันทำให้ไม่เป็นที่สบอารมณ์ของฝ่ายความมั่นคง

ผลคือทำให้ผมได้ฟังข้อมูลเรื่องราวเบื้องหลังการดำเนินการพูดคุยโดยเฉพาะจากฝ่ายความมั่นคงไทยอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นความรู้ที่หาค่าไม่ได้

แต่เมื่อได้ทราบแล้วก็ทำให้ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ต่ออนาคตของกระบวนการพูดคุยสันติสุขและสันติภาพที่กำลังดำเนินอยู่ขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

เรื่องที่สามารถเล่าได้ที่สำคัญคืออาจารย์มารค ตามไท มีบทบาทอย่างมากในการร่วมร่างนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ฉบับล่าสุด (และสุดท้ายก็ได้) ฉบับปี พ.ศ.2542-2546 ซึ่งปรับเปลี่ยนกรอบคิด มโนทัศน์และวิธีการมองความมั่นคงแห่งชาติจากกรอบเดิมที่ใช้กันมากว่า 20 ปีที่มองปัญหา จชต. ว่าเป็น “ปัญหาการรักษาอำนาจรัฐ” หรือ “การสามารถควบคุมระดับความรุนแรงได้”

มาสู่การตั้งโจทย์ใหม่โดยนำแนวคิดสันติวิธีในฐานะยุทธศาสตร์ความมั่นคงมาใช้แทนว่า“แทนที่ทำอย่างไรที่จะรักษาอำนาจรัฐ มาสู่เป็นการรักษาความมั่นคงในชีวิตของคนในพื้นที่”

เมื่อโจทย์เปลี่ยนการกำหนดนโยบายความมั่นคงในพื้นที่ก็ต้องเปลี่ยนตามด้วย นี่คือการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างเลยทีเดียว เพราะมันไม่เน้นการใช้อำนาจของรัฐโดยเจ้าหน้าที่รัฐอีกต่อไป

หากเน้นไปที่การรักษาความปลอดภัยในชีวิตของคนทุกคนในพื้นที่ คนกลายมาเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่รัฐดังแต่ก่อน (มารค ตามไท และสมเกียรติ บุญชู 2551)

นโยบายความมั่นคงฉบับก้าวหน้านี้มีข้อเสนอสำคัญ 3 ประการ คือ

หนึ่ง) ความมั่นคงจะเกิดขึ้นในภาคใต้หากทำให้ “ประชาชนมุสลิมสามารถอยู่อย่างมุสลิมในสังคมไทย” โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นคนไทยเท่ากับคนไทยอื่นๆ ทุกคน

สอง) “เปลี่ยนจากความกลัวความต่าง มาเป็นให้ความต่างนำมาสู่ความมั่นคง” นี่เป็นการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากกว่านโยบายผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์ที่ใช้มาแต่สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามถึงปัจจุบัน

สาม) ความมั่นคงมาจากการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน นี่ก็เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของความมั่นคงอย่างขนานใหญ่เช่นกัน

ความก้าวหน้าและตอบโจทย์ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์ในประเทศที่เป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้นโยบายความมั่นคงใหม่ของไทยที่วางบนยุทธศาสตร์สันติวิธีได้รับความสนใจจากทั่วโลกโดยเฉพาะองค์การสหประชาชาติที่มีสมาชิกประเทศทั่วโลก ถึงกับติดต่อขอแปลไปเป็นภาษาต่างๆ สำหรับใช้ในหลายประเทศทั่วโลก

ทุกคนยอมรับและเห็นด้วยกับแนวคิดและมโนทัศน์ความมั่นคงที่วางบนความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างยิ่ง

แต่อนิจจาท่านทราบไหมว่านโยบายความมั่นคงใหม่นี้ใช้ได้เพียง 4 ปีก็หมดสภาพกลายเป็นเศษกระดาษอีกแผ่นหนึ่งเหมือนกับรัฐธรรมนูญไทย เมื่อเกิดกรณีปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็งในนราธิวาสโดยกลุ่มขบวนการฯ (2547)

จากนั้นสถานการณ์ทวีความรุนแรงตอบโต้กันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนใน จชต. รัฐบาลต่อมาแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายและอำนวยการเสริมสร้างสันติสุข แทน ศอ.บต.ที่ถูกยุบไปในปี 2545 จากนั้นนโยบายความมั่นคงแห่งชาติก็กลับมายังหนทางดั้งเดิมคือการใช้กำลังรักษาอำนาจรัฐและควบคุมความรุนแรงในระดับที่รับได้อีกต่อไป

มันเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นโศกนาฏกรรมที่แท้จริง ดูเหมือนความก้าวหน้าที่เป็นของประชาชนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและยั่งยืนได้ยากมากๆ ในสังคมไทย

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ผมคิดไม่ออก แม้ช่วงสั้นๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงในนโยบายความมั่นคงให้ก้าวหน้าขึ้น พวกเราก็ยังไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย ยังเชื่อเหมือนเดิมว่าไม่มีอะไรใหม่ในนโยบายความมั่นคงของรัฐไทย

จนกระทั่งอาจารย์มารค ตามไท เล่าอย่างละเอียดและให้คำวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาถึงความสำเร็จและล้มเหลวของการดำเนินนโยบายความมั่นคงของรัฐไทย ความจริงที่มีความหมายต่อชีวิตคนนับล้านและอนาคตของชาติถึงถูกเปิดเผยออกมา

ในส่วนของการเจรจาพูดคุยระหว่างตัวแทนฝ่ายรัฐกับฝ่ายขบวนการฯ นั้น พอสรุปได้ว่ามีการดำเนินการมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และเป็นกิจจะลักษณะมากขึ้นในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์และต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

การพบกันมักกระทำในต่างแดนเพราะปัญหาฐานะของตัวแทนขบวนการฯ ไม่อาจเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย มีการพบกันทั้งในยุโรป มาถึงประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

ผมถามว่าใช้ภาษาอะไรในการเจรจา ฝ่ายขบวนการใช้ภาษามลายูหรืออังกฤษ แต่อาจารย์มารคเชื่อว่าพวกเขาสามารถเข้าใจภาษาไทย แต่ไม่ยอมใช้ อันเป็นเรื่องเข้าใจได้ ประเด็นในการพูดคุยยังเป็นเรื่องทั่วไป ยังไม่ลงไปสู่ก้นบึ้งของความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์ระหว่างสองฝ่าย เรียกว่าเป็นการสร้างบรรยากาศ

และที่สำคัญคือการสร้างความไว้วางใจ (Trust) อันเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้

สำหรับความก้าวหน้าและความสำเร็จของการเจรจา ประเด็นเรื่องความไว้วางใจนี้ อาจารย์มารคกล่าวว่า สร้างยาก ถ้าหากฝ่ายไทยไม่มีการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมของผู้นำรัฐว่าจริงใจและต้องการพูดคุยกันอย่างจริงจัง เช่น ผู้นำระดับที่มีอำนาจลงไปเจอกับฝ่ายขบวนการฯ เรื่องนี้ทำให้เมื่ออาจารย์มารคเสนอต่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรยุทธ์

ท่านตอบตกลงยินดีไปพบฝ่ายขบวนการฯ เป็นครั้งแรกที่หัวหน้ารัฐบาลไปพบปะโดยตรงกับผู้แทนขบวนการฯ แต่หลังจากนั้นทิศทางการเมืองไทยก็เปลี่ยนไปอีก

การแสดงถึงความจริงใจในการเจรจาค่อยหายไปกลายมาเป็นการใช้วาทกรรม “การสร้างสันติสุข” แทน

สุดท้ายปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในกระบวนการพูดคุย ได้แก่ ความกลัว เป็นภาวะที่สมองส่วนที่สร้างความกลัวมีมากกว่าการสร้างความมั่นใจ อันเป็นภาวะทางความคิดและจิตวิทยาของฝ่ายความมั่นคงไทยมายาวนาน จากความกลัวและวิธีคิดแบบทหาร ทำให้การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เป็นมิติทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง โดยอาชีพทหารถูกฝึกและสอนให้แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังผ่านเครื่องมือ เช่น อาวุธ ไม่ได้ฝึกและสอนให้มาทำงานทางความคิดและวัฒนธรรม

ประเด็นสุดท้ายของความสำเร็จและล้มเหลวในกระบวนการพูดคุยสันติ ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่า spoiler หรือตัวบั่นทอนบิดเบือนทำให้โครงการนั้นๆ ไม่อาจบรรลุจุดหมายได้ อาจารย์มารคคิดว่าปัจจัยนี้มีทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่มาจากผู้ปฏิบัติงานที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายใหม่ จะด้วยความไม่เข้าใจหรือเสียผลประโยชน์ก็ตาม แต่ผลคือนำไปสู่การสร้างอุปสรรคขัดขวางหนทางที่จะไปสู่ความสงบสันติในพื้นที่

ปัจจัยตัวนี้มีมาตลอดและเป็นปัจจัยที่ทำลายนโยบายความมั่นคงใหม่ให้พังทลายไปแล้วด้วย และนี่คือความห่วงใยต่ออนาคตของการพูดคุยว่าจะเอาตัวรอดจากบรรดา spoilers ที่ส่งเสียงดังมาตลอดในนามของความมั่นคงแห่งชาติ

อ้างอิง

มารค ตามไท และสมเกียรติ บุญชู “นโยบายความมั่นคงแห่งชาติจังหวัดชายแดนภาคใต้เปรียบเทียบในรอบ 30 ปี” ใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ บก. แผ่นดินจินตนาการ : รัฐและการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ กรุงเทพฯ มติชน, 255, หน้า 53-105.

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : การมีส่วนร่วมของประชาชน ในการสร้างสันติภาพ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichonweekly.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...