ประชารัฐตรังหนุนปลูกโกโก้ "ออนอ๊อฟเน็ตเวร์ค" ซื้อประกันราคา
โกโก้ (CoCoa) จัดเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ ปัจจุบันประเทศไทยต้องใช้เม็ดโกโก้แห้งไม่ต่ำกว่า 40,000 ตัน/ปี แต่การผลิตในประเทศไม่เกิน 200 ตัน/ปี จึงจำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศในราคาเฉลี่ย 60-120 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มพูดถึงการผลักดันให้ “โกโก้” เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของไทย
“ลือพงษ์ อ๋องเจริญ” ประธานกรรมการ บริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรัง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด บอกกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า โกโก้มีจุดเด่นต่างกับผลไม้ชนิดอื่น ออกดอกออกผลได้ตลอดทั้งปี ไม่มีฤดู เมื่ออายุ 3 ปีเริ่มให้ผลผลิตและเก็บเกี่ยวได้อย่างต่อเนื่องทุก ๆ 15 วัน จนอายุต้น 50-60 ปี แต่ในช่วงฤดูฝนผลผลิตจะน้อยกว่าฤดูอื่น ๆ เพราะน้ำฝนที่ตกลงมากระทบดอกจะทำให้ดอกหลุดร่วง หากออกดอกมากจะทำให้มีผลผลิตมาก เมื่อผลยังไม่ทันแก่จะมีดอกออกมาให้ผลใหม่เรื่อย ๆ เมื่อผลแก่จัดจะกลายเป็นสีเหลืองหรือเหลืองอมแดงเข้ม หลังจากนั้นเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตได้เลย หรือนำเม็ดมาหมักทิ้งไว้ 1 สัปดาห์แล้วตากแห้งลดความชื้นเพื่อนำเมล็ดไปคั่วต่อ
ปัจจุบันโกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจโลก นำไปใช้ในอุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง ขนม และอาหาร กลุ่มประเทศที่นำเข้าเม็ดโกโก้หรือผงโกโก้ ได้แก่กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และประเทศไทยนำเข้าในรูปโกโก้ผงหลายแสนตันต่อปี จากประเทศอินโดนีเซีย แอฟริกา กานา ซึ่งปลูกโกโก้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน แม้แต่จีนเองยังนำเข้าโกโก้ไปแปรรูปเป็นช็อกโกแลตมาขายที่เมืองไทย
“ปัจจุบันพันธุ์โกโก้ในประเทศไทยมี 2 สายพันธุ์ ได้แก่ 1.โกโก้พันธุ์ไอ.เอ็ม. 1 (I.M.1 Variety) จากการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โกโก้พันธุ์นี้มีความโดดเด่นคือเมล็ดมีขนาดใหญ่ และผลผลิตสูง ทนแล้ง เมื่อนำไปแปรรูปคุณภาพของเมล็ดจะสร้างกลิ่นหอม เป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.โกโก้พันธุ์ลูกผสมชุมพร 1 ได้มีการค้นคว้าวิจัยที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กรมวิชาการเกษตร ตั้งแต่ปี 2524-2536 เพราะว่าโกโก้ลูกผสมชุมพร 1 เป็นพันธุ์โกโก้ลูกผสมที่ดีทั้งในด้านการให้ผลผลิต ซึ่งเหมาะกับพื้นที่ปลูกโกโก้ทางภาคใต้ของประเทศไทย” นายลือพงษ์กล่าว
สำหรับลักษณะเด่นของสายพันธุ์ชุมพร 1 คือสามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศ เจริญเติบโตเร็ว ทนแล้ง ให้ผลผลิตสูง สามารถให้ผลผลิตได้ในปีที่ 3 หลังการปลูก เมล็ดแห้งมีขนาดและคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด และมีปริมาณไขมันสูงเฉลี่ย 62% ทั้งนี้ สายพันธุ์ลูกผสม F1 เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมของประเทศมาเลเซีย ซึ่งนำเข้ามาปลูกในประเทศไทยกว่า 30 ปีแล้ว ลักษณะผลโกโก้สายพันธุ์ลูกผสม F1 มีลักษณะลูกป้อม เปลือกบาง เม็ดมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ มีกลิ่นหอม ทั้งมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อนำไปแปรรูปทำช็อกโกแลตจะได้ช็อกโกแลตมากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ เรียกได้ว่าเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่มีอนาคตสดใส
“ลือพงษ์” บอกว่า บริษัท ออน อ๊อฟ เน็ตเวร์ค 2017 เป็นอีกบริษัทหนึ่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่จังหวัดขอนแก่น มองว่าจังหวัดตรังเหมาะแก่การส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกโกโก้อินทรีย์ โดยใช้นวัตกรรมทางด้านการเกษตรนำโกโก้ลูกผสม F1 เข้ามาปลูกในพื้นที่ และใช้ชุดควบคุมป้องกันแมลงและเชื้อรา ปลูกโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยคอกรองพื้น หลังจากปลูกสามารถเก็บเกี่ยวผลโกโก้ได้ภายใน 1.6-2.3 ปี 1 ไร่ จะได้ผลน้ำหนัก 500-1500 กิโลกรัม ซึ่งบริษัททำประกันรับซื้อผลผลิตขั้นต่ำ 13 บาท/กก. สูงสุดที่ 35 บาท/กก. หากผลผลิต 500 กก./ไร่/ต่อเดือน ก็จะสร้างรายได้เดือนละ 6,500 บาท ฉะนั้นเนื้อที่ 1 ไร่ ในช่วงเวลา 1 ปีจะทำเงินได้ถึง 78,000 บาท ส่วนการลงทุนประมาณ 12,400 บาท/1 ไร่
โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ทางบริษัทได้เข้ามาให้ข้อมูลว่าจะรับผิดชอบจัดหาต้นพันธุ์โกโก้ลูกผสม F1จำนวน 100 ต้น พร้อมชุดควบคุม 100 กิโลกรัม ระบบราก ระบบทางใบ 1,200 ลิตร ป้องกันเชื้อราแมลง โดยบริษัทมีจุดรับซื้ออยู่ที่สหกรณ์ทุกจังหวัด ตามเกษตรพันธะสัญญา พ.ศ. 2560 เป็นการเอาตลาดนำการผลิต เป้าประสงค์ของบริษัทต้องการที่จะเปลี่ยนเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์โดยใช้โกโก้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร ทดแทนยางพาราที่ราคาตกต่ำ และทางบริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรังก็อยากให้บริษัทนำต้นพันธุ์ที่ทางกรมวิชาการเกษตรรับรอง ทั้งเรื่องการตลาด ตลอดจนนำองค์ความรู้และ know how มาถ่ายทอดในการแปรรูปให้กับวิสาหกิจชุมชนด้วย เพราคาดหวังว่าโกโก้จะเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะมาทดแทนยางพาราให้กับเกษตรกรชาวใต้ต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม “ลือพงษ์” บอกว่า จุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ บริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรังฯมุ่งการปฏิวัติเขียวให้เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดตรัง เห็นคุณค่าของการนำโกโก้พันธุ์ผสม โดยกลุ่มเกษตรโลกใหม่หัวใจอินทรีย์ ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม มาปลูกในพื้นที่จังหวัดตรังด้วยนวัตกรรมเกษตรที่ไม่ต้องตรวจแปลงเหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา
ความคืบหน้าล่าสุดได้มีการประชุมกลุ่มย่อยเกษตรกรผู้สนใจปลูกโกโก้แล้ว ทำให้ทุกคนเข้าใจในเรื่องการลงทุนและผลตอบแทนที่จะได้รับตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ และมีโครงการ “โกโก้ทางเลือกที่รอดทดแทนยางพารา” ที่ผู้เข้าร่วมประชุมจะนำโกโก้มาปลูกทดลอง ที่ตำบลกะลาเส อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ประมาณ 20 ไร่ต่อไป รวมถึง“กฤษณะ บวรศุภศรี” ผู้ใหญ่บ้านตำบลกะปาง (เจ้าของนินีรีสอร์ท) ได้เข้าร่วมโครงการนำร่องปลูกโกโก้ในอำเภอรัษฎาจำนวน 50 ไร่ เพื่อเป็นต้นแบบในการศึกษาดูงานการปลูกโกโก้ของภาคใต้เพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้มาเป็นประธานเปิดงานและร่วมลงนามเป็นสักขีพยานบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างบริษัทประชารัฐรักสามัคคีตรัง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด กับบริษัท ออน อ๊อฟ เน็ตเวร์ค 2017 จำกัด ด้วย รวมถึงเกษตรกรและหน่วยงานราชการเข้าร่วมประมาณ 60 คน ซึ่งในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือมีประเด็นหลัก 3 ประเด็นคือ 1.ร่วมมือกันคัดเลือกต้นพันธุ์โกโก้ลูกผสมที่มีคุณภาพให้ผลผลิตสูง คุ้มค่าในการลงทุน และเป็นความต้องการของตลาด ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 2.บริษัท ออน อ๊อฟ เน็ตเวร์ค 2017 จำกัด จะรับซื้อผลผลิตโกโก้จากเกษตรกรในราคาประกันผ่านสหกรณ์ ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมเกษตรพันธะสัญญา พ.ศ. 2560 และ 3.ร่วมมือกันขับเคลื่อนให้เกษตรกรในชุมชนทำการเกษตรปลอดภัย หรือเกษตรอินทรีย์ ด้วยการส่งเสริมให้เกษตรกรมีความรู้ด้านกระบวนการผลิต แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานเกษตรปลอดภัยหรือเกษตรอินทรีย์