โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

EXIM BANK แนะผู้ประกอบการรักษาสภาพคล่องรับมือเศรษฐกิจโลกชะลอ

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 24 มิ.ย. เวลา 21.37 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. เวลา 04.36 น.

ทั่วโลกกำลังจับตาความชัดเจนของนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันในวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ประเด็นสำคัญที่ทุกฝ่ายรอคอยคือ การประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่เป็นรายประเทศ หลังจากประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯแล้ว

อัตราภาษีใหม่หลังพ้นระยะผ่อนผัน 90 วันจะส่งผลต่อการส่งออกของโลกในภาพรวม เนื่องจากความสามารถในการแข่งขันส่งออกของแต่ละประเทศในตลาดสหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลง

ประเทศที่โดนเก็บภาษีนำเข้าสูงอาจไม่สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้ได้ สำหรับประเทศไทย หากอัตราภาษีใหม่สูงกว่าประเทศคู่แข่งทางการค้าอย่างเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย ก็อาจมีผลกระทบต่อการส่งออกเช่นกัน

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำการส่งออก (EXIM Index) ของไทยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่าอยู่ที่ระดับ 100.5 ลดลงจาก 102.5 ในไตรมาสแรก ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ไตรมาส

ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)

สะท้อนว่า แนวโน้มการส่งออกไทยในไตรมาส 3 มีทิศทางชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญ

โดยมีแรงกดดันหลักจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐฯ เศรษฐกิจและการค้าโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว ราคาส่งออกที่ลดลง ตลอดจนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกที่ยังเปราะบาง

ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ได้แก่ คำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศและศาลอุทธรณ์ของสหรัฐฯ ต่อมาตรการภาษี รวมถึงความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ

หากไทยสามารถตกลงในอัตราภาษีที่ไม่สูงกว่าคู่แข่ง EXIM BANK คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2568 จะยังสามารถขยายตัวได้ที่ระดับ 0.5-1.5%

ดร.เบญจรงค์ กล่าวว่า ปัญหาการค้าระหว่างประเทศในปัจจุบันถือเป็นปัจจัยซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย และกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบการโดยตรง ในสถานการณ์เช่นนี้สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีแนวโน้มปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังมากขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับลูกค้าเดิมมากกว่าการขยายฐานลูกค้าใหม่

ผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการรักษาสภาพคล่องของกิจการ สำรองวงเงินสินเชื่อกับแต่ละธนาคารไว้ให้พร้อม เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

ดร.เบญจรงค์ กล่าวต่อว่า ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทย เห็นได้จากสินเชื่อของสถาบันการเงินทั้งระบบหดตัวลง ซึ่งเป็นปัญหามาจากภาพรวมของเศรษฐกิจและปริมาณหนี้เสียมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อธนาคารเฉพาะกิจของรัฐยังมีอัตราการเติบโต ธนาคารรัฐพยายามเสริมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ แต่ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เนื่องจากสินเชื่อของระบบของธนาคารพาณิชย์มีฐานที่ใหญ่มาก

EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลจากนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ โดยได้ จัดงาน “กรรมการผู้จัดการพบพนักงาน” หรือ Town Hall Meeting หัวข้อ “จัดทัพ Upskills ฝ่ามรสุมการค้าโลกยุคทรัมป์ 2.0” เพื่อมอบนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของธนาคาร

โดยเฉพาะแนวทางการช่วยเหลือผู้ประกอบการ โดยมีเป้าหมายเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากร และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งเร่งสำรวจและพูดคุยกับลูกค้าทุกราย เพื่อประเมินผลกระทบและหาแนวทางสนับสนุนที่เหมาะสม

ดร.เบญจรงค์กล่าวว่า EXIM BANK ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือทั้งทางการเงินและไม่ใช่การเงินเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยในด้านการเงินได้มีการขยายระยะเวลาชำระหนี้สูงสุดถึง 365 วัน พร้อมมาตรการเสริมสภาพคล่อง และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก

อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการส่งออก เพื่อช่วยผู้ประกอบการในการขยายตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ รวมถึงบริการประกันการส่งออก เพื่อลดความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินจากผู้ซื้อในต่างประเทศ

“ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจากนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้คือ ความจำเป็นในการลดกำลังการผลิตและลดการจ้างงาน ซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น"

EXIM BANK จึงเตรียม ‘ยาชุด’ สำหรับช่วยเหลือลูกค้าในกรณีที่มีความชัดเจนของมาตรการภาษี อาทิ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ (Soft Loan) คล้ายกับช่วงสถานการณ์โควิด-19 เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรักษาการจ้างงานและดำเนินธุรกิจต่อไปได้

สำหรับมาตรการที่ไม่ใช่การเงิน EXIM BANK ได้จัดตั้ง “คลินิกผู้ประกอบการ (Export Clinic)” เพื่อให้คำปรึกษาและแนะนำผ่านช่องทางการติดต่อของธนาคาร พร้อมให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ รวมถึงผลกระทบและแนวทางบริหารจัดการธุรกิจอย่างเหมาะสม

นอกจากนี้ ยังได้ขยายความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs สามารถขยายตลาดไปยังประเทศที่มีศักยภาพ และในระยะต่อไป

EXIM BANK ยังมีแผนหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายการลงทุนในสหรัฐฯ และสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยไม่ส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการภายในประเทศ

นอกจากการค้าโลกจะเผชิญกับปัญหาจากนโยบายภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ของรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว ผู้ประกอบธุรกิจไทยยังจะประสบกับความเสี่ยงในหลากหลายรูปแบบ อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน ความเสี่ยงผิดนัดชำระเงินค่าสินค้าส่งออก ผู้ประกอบการไทยสามารถป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร ด้วยการใช้เครื่องมือทางการเงิน

โดย EXIM BANK มีบริการสามารถช่วยบริหารความเสี่ยงอย่างครบวงจร มีบริการประกันการส่งออกที่ช่วยคุ้มครองความเสี่ยงจากการที่ผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้าส่งออกและ Foreign Exchange Forward Contract เป็นบริการสัญญาซื้อ/ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อปิดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการของ EXIM BANK สามารถปรึกษา EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...