โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

กทม. จับมือ ‘ไบเออร์ไทย’รณรงค์หยุดช็อกโกแลตซีสต์ ยกระดับกรุงเทพสู่เมืองสุขภาพ

สยามรัฐ

อัพเดต 25 มิ.ย. เวลา 05.30 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. เวลา 05.30 น.

‘กทม.’ ผนึก ‘ไบเออร์ไทย’ ต่อยอดปีที่ 2 รณรงค์หยุดโรคช็อกโกแลตซีสต์ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนกรุงเทพ ยกระดับสู่เมืองสุขภาพ

วันที่ 25 มิ.ย.68 กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักการแพทย์ และ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Understanding: MOU) “ความร่วมมือเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) และการเพิ่มอัตราการเข้าถึงยาและบริการทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน” เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568 ณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายเวลาความร่วมมือที่ได้เริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2567 เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการรณรงค์ให้ประชาชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์ อีกทั้งเพิ่มโอกาสในการตรวจคัดกรองและการเข้ารับการรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์มากยิ่งขึ้น ความร่วมมือนี้ทำให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาและสร้างมาตรฐานการดูแลสุขภาพที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในสังคม โดยมุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดและมีสุขภาพที่ดีขึ้นในอนาคต

นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตซีสต์ เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพของผู้หญิงที่สามารถป้องกันและรักษาได้ ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและรับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ โดยกรุงเทพมหานครประสบความสำเร็จในการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนร่วมกับ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด และโรงพยาบาลในสังกัดกทม. 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลตากสิน โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ โรงพยาบาลราชพิพัฒน์ และโรงพยาบาลสิรินธร ผ่านทางสื่อต่างๆ เช่น แผ่นพับ วิดีโอ และจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

“ผลตอบรับจากโครงการฯ นี้ในปีแรก ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้นว่าอาการที่เป็นอยู่ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดโรคช็อกโกแลตซีสต์ ส่งผลให้มีการเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และช่วยให้ประชาชนเพิ่มอัตราการเข้าถึงยา บริการทางการแพทย์ การตรวจคัดกรองและการรักษาโรคนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความรุนแรงของการเกิดโรค แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม ดังนั้น การลงนามในการขยายระยะเวลาของ MOU นี้จะเพิ่มศักยภาพในการขยายโอกาสออกไปสู่โรงพยาบาลสังกัดกทม. แห่งอื่นๆ ซึ่งจะยกระดับการดูแลป้องกันและรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต”

ทั้งนี้ ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพอย่าง บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จะช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์และนโยบายในการสร้าง เมืองสุขภาพดี หรือ Healthy City ตามแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ของกทม.อีกด้วย

นายแบรดลี่ย์ เจมส์ วิลเลี่ยมส์ กรรมการผู้จัดการและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจฟาร์มาซูติคอล บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ความร่วมมือกับกรุงเทพมหานครสะท้อนความมุ่งมั่นของไบเออร์ไทยที่จะสร้างประโยชน์ให้สังคมอย่างต่อเนื่อง ภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ กทม.และไบเออร์ไทย จะดำเนินการในกิจกรรมการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในการเสวนา“เช็กก่อนช็อก (โกแลตชีสต์)” โดยให้ความรู้แก่ประชาชนร่วมกับแพทย์เฉพาะทางของโรงพยาบาลและศูนย์บริการสาธารณสุข ในสังกัด กทม. ตลอดจนการเผยแพร่สิ่งพิมพ์และกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้หญิงตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพของตนเองและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที

“ไบเออร์ไทย มีความยินดีที่เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนไทยและสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ชุมชนผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทในการส่งเสริมให้ “ทุกคนมีสุขภาพดีและไม่ขาดแคลนอาหาร” (Health for all, Hunger for none) และเป็นผู้นำปลุกพลังแห่งความเปลี่ยนแปลงสังคมด้านการดูแลสุขภาพในทุกๆ มิติ”

โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เกิดจากภาวะประจำเดือนไหลย้อนกลับเข้าไปในช่องท้อง ซึ่งประจำเดือนเหล่านี้มีเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ด้วย เมื่อไปเกาะอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งก็อาจเจริญเติบโตเกิดเป็นพังผืด หรือสะสมอยู่ในรังไข่จนเกิดเป็นก้อนสีดำคล้ำคล้ายช็อกโกแลต จึงมักเรียกกันว่า ‘ถุงน้ำช็อกโกแลต’ หรือ ‘ช็อกโกแลตซีสต์’ โดยมีสัญญาณเตือนภัย อาทิ ปวดท้องประจำเดือนมากกว่าปกติ ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือปวดอุ้งเชิงกรานขณะไม่มีประจำเดือน และภาวะมีบุตรยาก สิ่งสำคัญคือการได้รับการวินิจฉัยที่เร็ว ปัจจุบันมีแนวทางรักษา ได้แก่ 1. การรักษาด้วยยา 2. การผ่าตัด 3. การรักษาร่วมกันระหว่างการให้ยาและการผ่าตัด อย่างไรก็ตามยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดโรคนี้ ดังนั้น หากมีอาการที่สงสัยควรรีบปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรค ทั้งนี้สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสการกลับเป็นซ้ำได้ ดังนั้นแพทย์จะเป็นผู้วางแผนการรักษาเพื่อช่วยป้องกันการเกิดการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ในระยะยาว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...