โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check : เตือน ! ห้ามใช้ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัย อันตราย จริงหรือ ?

สำนักข่าวไทย Online

อัพเดต 24 ก.ค. เวลา 10.16 น. • เผยแพร่ 24 ก.ค. เวลา 03.16 น. • สำนักข่าวไทย อสมท

บทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI)โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ

22 กรกฎาคม 2568

ตามที่มีการแชร์เตือนผู้ใช้งานรถยนต์ว่า ห้ามใช้งานอุปกรณ์เสียบหลอกเข็มขัดนิรภัย เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้นั้น

สรุป : จริง แชร์ได้

ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับ นายสุรมิส เจริญงาม นักทดสอบและผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยียานยนต์ (สัมภาษณ์เมื่อ 14 พฤษภาคม 2568)

ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัย “อันตราย” ที่คุณอาจไม่เคยรู้

“แค่เสียบไว้ไม่ให้เสียงเตือนดัง” คือเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้หลายคนเลือกใช้อุปกรณ์ชิ้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัย” โดยไม่เคยตระหนักว่าอุปกรณ์ที่ดูไม่มีพิษสงชิ้นนี้ จะสามารถเปลี่ยนอุบัติเหตุธรรมดาให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมถึงชีวิตได้ในพริบตา บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ และไขข้อข้องใจว่าทำไมการ “ไม่คาดเข็มขัด” ถึงอันตรายยิ่งกว่า เมื่อมีอุปกรณ์ชิ้นนี้อยู่ในรถของคุณ

Airbag และ เข็มขัดนิรภัย คู่หูที่ต้องทำงานร่วมกัน

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าระบบความปลอดภัยในรถยนต์สมัยใหม่ถูกออกแบบมาให้ทำงานประสานกัน โดยเฉพาะ ถุงลมนิรภัย (Airbag) และ เข็มขัดนิรภัย (Seatbelt)

  • เข็มขัดนิรภัย : มีหน้าที่หลัก คือ “รั้ง” ร่างกายของเราให้ติดอยู่กับเบาะ ป้องกันไม่ให้เราพุ่งไปข้างหน้าหรือกระแทกกับส่วนต่าง ๆ ของรถเมื่อเกิดการชน
  • ถุงลมนิรภัย : ถูกออกแบบมาเพื่อ “ลดแรงปะทะ” ในจังหวะสุดท้าย โดยจะพองลมออกมาเป็นเบาะลมป้องกันไม่ให้ศีรษะและหน้าอกของเรากระแทกกับพวงมาลัยหรือคอนโซลหน้ารถโดยตรง ซึ่งสามารถลดการบาดเจ็บรุนแรงถึงชีวิตได้มากกว่า 60%

ระบบทั้งสองนี้จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อผู้ขับขี่และผู้โดยสาร “คาดเข็มขัดนิรภัย” เท่านั้น

หายนะที่เกิดขึ้นเมื่อ ตัวหลอกทำงาน

ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัย คือ อุปกรณ์ที่เสียบเข้าไปในช่องเสียบเพื่อหลอกระบบเซ็นเซอร์ของรถว่ามีการคาดเข็มขัดแล้ว ทำให้เสียงเตือนน่ารำคาญเงียบลง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ได้หลอกให้ “ถุงลมนิรภัย” พร้อมที่จะทำงานเต็มที่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ลองจินตนาการภาพตามเมื่อเกิดการชนด้านหน้า :

  • ร่างพุ่งไปข้างหน้า : เมื่อไม่มีเข็มขัดนิรภัยรั้งไว้ ร่างกายของคุณจะพุ่งไปข้างหน้าตามแรงกระแทกอย่างอิสระ
  • Airbag ระเบิดสวน : ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ถุงลมนิรภัยจะทำงานและพองตัวออกมาด้วยความเร็วสูง (ประมาณ 300 กม./ชม.)
  • การปะทะสองแรง : ร่างกายที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าจะปะทะเข้ากับถุงลมที่ระเบิดสวนออกมาอย่างรุนแรง แรงกระแทกมหาศาลนี้จะผลักให้ศีรษะและลำคอสะบัดกลับมาด้านหลังอย่างรุนแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บสาหัส เช่น หมอนรองกระดูกต้นคอแตกทับเส้นประสาท หรือคอหัก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ทันที

การกระทำเช่นนี้จึงอันตรายกว่าการไม่คาดเข็มขัดแล้วถุงลมไม่ทำงานเสียอีก และการนำเข็มขัดไปพาดไว้ด้านหลังแล้วนั่งทับ ก็มีผลลัพธ์ที่เลวร้ายไม่ต่างกัน

ทางออกสำหรับผู้ที่มีข้อจำกัด

สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดทางสรีระ เช่น สตรีมีครรภ์ หรือรู้สึกอึดอัดเมื่อคาดเข็มขัด ก็ยังมีทางออกที่ปลอดภัยกว่าการใช้ตัวหลอก

  • ปรับตำแหน่งเข็มขัด : รถยนต์ส่วนใหญ่สามารถปรับระดับความสูง-ต่ำของสายเข็มขัดได้ ควรปรับให้สายพาดอยู่บน “บ่า” พอดี ไม่ใช่บนร่องคอ
  • เปลี่ยนไปนั่งเบาะหลัง : โดยทั่วไปแล้ว เบาะหลังจะปลอดภัยกว่าและเข็มขัดอาจให้ความรู้สึกสบายตัวกว่า
  • ปิดการทำงานของ Airbag (ในกรณีจำเป็นจริง ๆ) : หากไม่สามารถคาดเข็มขัดได้จริงๆ การปิดระบบถุงลมนิรภัย (ซึ่งรถบางรุ่นสามารถทำได้) ยังถือว่าปลอดภัยกว่าการปล่อยให้ถุงลมทำงานโดยไม่มีเข็มขัดรั้ง

โดยสรุปแล้ว ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัยคืออุปกรณ์ที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ นอกจากสร้างความเสี่ยงถึงชีวิต ความปลอดภัยของคุณและคนที่คุณรักมีค่ามากกว่าความรำคาญจากเสียงเตือนเพียงชั่วครู่ การสละเวลาคาดเข็มขัดและปรับให้พอดีกับร่างกาย คือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ทุกครั้งที่ขึ้นรถ

ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : ณัฐพล อินทร์สวัสดิ์

ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส

ดูเพิ่มเติมรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ Motor Check : เตือน ! ห้ามใช้ตัวหลอกเข็มขัดนิรภัย อันตราย จริงหรือ ?

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...