โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

มวลสารหลักพระสมเด็จวัดระฆังฯ แท้

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว
ภาพไฮไลต์

ตำราพระสมเด็จฯที่น่าเชื่อถือหลายเล่มบอกว่า เนื้อหามวลสารของพระสมเด็จฯนั้นประกอบด้วยวัสดุหลากหลายชนิด โดยนอกจากปูนขาวที่ทำจากปูนเปลือกหอยที่เป็นส่วนผสมหลักแล้ว ยังมีมวลสารหลักอีกสองชนิดที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของพระสมเด็จวัดระฆังฯแท้ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) คือ “เม็ดพระธาตุ” และ “น้ำมันตังอิ๊ว” โดยในตอนนี้ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตนำเสนอเรื่องราวของมวลสารหลักสองชนิดนี้
นิรนาม ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ แห่งนิตยสารพรีเชียสของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ได้พูดถึงมวลสารหลักชนิดหนึ่งที่มักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต คือ เม็ดหินสีขาวออกเหลือง มีทั้งขนาดใหญ่และเล็ก หรือที่เรียกกันในเชิงอุปมากันว่า “เม็ดพระธาตุ” โดยกล่าวไว้ว่า“จุดเม็ดพระธาตุนี้ กลายเป็นจุดสำคัญของตำนานการดูพระสมเด็จวัดระฆังฯที่สำคัญที่สุด ผมเองอยากจะสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นปูนหินสีขาวๆ เมื่อผสมกับน้ำมันตังอิ๊วจับตัวเป็นก้อน เมื่อตำผสมกับปูนขาวเปลือกหอยแล้วไม่กลืนกัน ภายหลังแยกกันเป็นเม็ดๆ ในเนื้อของสมเด็จวัดระฆังฯ …แต่บางคนก็สันนิษฐานไปว่าอาจจะเป็นปูนขาวที่ปั้นปูนขาวที่ปั้นพระบูชาตามโบสถ์ เสร็จแล้วทารักปิดทอง ให้พุทธศาสนิกชนกราบไหว้บูชาเป็นร้อยเป็นพันปี …บางครั้งปูนขาวเสื่อมอายุพองขึ้นชำรุดเสียหาย จึงต้องลอกเอาปูนขาวออกแล้วปั้นด้วยปูนขาวใหม่ให้พระสมบูรณ์ เพื่อยืดอายุพระพุทธรูปบูชาในโบสถ์ให้มีอายุนับพันปี …ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ โต เห็นเป็นวัสดุบูชาที่ไม่ควรจะทิ้ง จึงนำมาตำผสมไว้ในมวลสารของพระสมเด็จวัดระฆังฯ มาถึงปัจจุบันอายุของพระสมเด็จวัดระฆังฯ ร้อยกว่าปี การหดตัวของมวลสารเกิดขึ้น …วัสดุที่ต่างกัน อายุต่างกันจึงหดตัวไม่เท่ากันจึงเกิดรอยแยกตัวของรอบๆเม็ดพระธาตุอย่างสม่ำเสมอ เป็นตำนานอันสำคัญที่สุดในการดูพระสมเด็จวัดระฆังฯแท้ …ส่วนเม็ดพระธาตุจริงๆนั้น เคยปรากฏมีจริงๆเหมือนกัน แต่มีน้อยมาก…”

ในเรื่องเม็ดพระธาตุนี้อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯอีกท่านหนึ่งได้เคยกล่าวเชิงเปรียบเปรยไว้อย่างน่าสนใจว่า “ให้ลองนึกถึงการก่ออิฐถือปูน ปูนฉาบนั้นจะเน้นปูนผสมทรายเพื่อให้ฉาบเรียบบริเวณผิวนอกของผนัง ส่วนปูนโครงสร้างที่เน้นรับแรงนั้นจะต้องมีการผสมเม็ดหินเข้าไปอีกด้วยเพื่อเสริมช่วยในการยึดเกาะตัวของปูนเสริมความแข็งแรง …พระสมเด็จวัดระฆังฯของท่านเจ้าประคุณก็เช่นกัน การที่มีการผสมเม็ดหิน (เม็ดพระธาตุ) เข้าไปด้วยก็เพื่อที่จะช่วยเสริมความแข็งแรงของเนื้อพระให้ส่วนผสมต่างๆยึดเกาะตัวกันได้ดีขึ้น ทำให้มีอายุยาวนานคงทนเป็นร้อยๆปี”

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เห็นว่าการที่มีการผสมเม็ดหินหรือเม็ดพระธาตุเข้าไปในเนื้อพระสมเด็จฯ โดยน่าจะเป็นการผสมเข้าไปในช่วงท้ายๆของกระบวนการโขลกตำมวลสารต่างๆให้เข้ากันนั้น (บางท่านบอกว่าเป็นการโรยเม็ดพระธาตุลงบนเนื้อพระก่อนกดพิมพ์ แต่มีข้อสังเกตว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดการพบเม็ดพระธาตุนั้นจึงไม่ได้พบแต่เพียงบริเวณผิวพระ แต่มีการกระจายตัวอยู่ทั่วไป) น่าจะมาจากเหตุผลหลายประการ เหตุผลประการแรกนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับคติการสร้างของท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตเองที่ต้องการให้มีเม็ดพระธาตุตามสูตรการสร้างพระสมเด็จฯของท่านซึ่งน่าจะต้องมีความพิเศษในทางพุทธาคมไม่ว่าจากแหล่งที่มาของเม็ดพระธาตุนั้นหรือจากการผ่านกระบวนการปลุกเสก ประการที่สองก็คือการที่พระสมเด็จวัดระฆังฯที่ทำจากปูนเปลือกหอยซึ่งเป็นลักษณะของปูนปั้นตามสูตรปูนตำโบราณนั้น โดยปกติแล้วน่าจะมีความเหนียวตัวมีการยึดเกาะตัวที่ดี แต่เมื่อต้องการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯซึ่งมีความพิเศษกว่าพระพิมพ์ทุกชนิดที่เคยสร้างมา จึงมีการผสมมวลสารวิเศษหลายชนิดที่ทำจากวัสดุมากมายหลายประเภทซึ่งรวมถึงพันธุ์พืชเกสรดอกไม้ต่างๆตามตำราการทำผงวิเศษ 5 ประการ (ผงปัถมัง ผงอิธะเจ ผงมหาราช ผงพุทธคุณ ผงตรีนิสิงเห) ส่วนผสมเหล่านี้จึงน่าจะทำให้การยึดเกาะตัวของเนื้อพระลดลง การที่มีการใส่เม็ดหิน หรือเม็ดพระธาตุ (นิรนามบอกว่า พระสมเด็จวัดระฆังฯทุกองค์จะมีเม็ดพระธาตุมาก) รวมถึงน้ำมันตังอิ๊ว (ตำราตรียัมปวายบอกว่ากลุ่มช่างทองหลวงที่เข้ามาช่วยสร้างพระสมเด็จฯในช่วงท้าย เป็นคนแนะนำให้ใส่เข้าไปเพื่อลดการแตกร้าวของเนื้อพระ) จึงน่าจะช่วยให้เนื้อพระมีการยึดเกาะตัวกันดีขึ้น

พระสมเด็จฯนั้นเป็นลักษณะพระเนื้อผง พระเนื้อผงเดิมๆจะมีคุณสมบัติที่แตกเปราะได้ง่าย จึงต้องมีการใส่ส่วนผสมอื่นๆเช่นน้ำอ้อย (พบว่าเป็นส่วนผสมหลักในงานปูนปั้นของสกุลช่างเมืองเพชรที่มีความคงทนมายาวนานหลายร้อยปี) หรือ น้ำมันตังอิ๊ว ที่มีคุณสมบัติทำให้เนื้อพระสมเด็จฯมีความเหนียวและยึดเกาะตัวกัน เพื่อให้ขึ้นรูปได้ง่ายและยังสามารถรักษารูปทรงได้เป็นร้อยปีโดยไม่แตกเปราะในภายหลัง พระสมเด็จวัดระฆังฯและสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้นอาจจะพบคราบน้ำมันตังอิ๊วปรากฏให้เห็นบนผิวพระ นิรนาม ได้เคยกล่าวไว้ด้วยว่า “เคยเห็นมากับตาเวลาพระสมเด็จวัดระฆังฯ ชำรุดหักจะเห็นเป็นน้ำมันตังอิ๊วเยิ้มอยู่ข้างในเนื้อพระเป็นจุดๆ”

น้ำมันตังอิ๊ว หรือน้ำมันมะพอก มีสีคล้ายน้ำมันพืช แต่เหนียวข้น ก่อนนำมาใช้จะต้มโดยการก่อไฟอ่อนๆ แล้วเคี่ยวน้ำมันจนเป็นสีใส น้ำมันตังอิ๊วทำมาจากผลของต้นตังอิ๊ว หรือมะพอก หรือบ่ะหมื้อ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 10-20 เมตร พบได้ทุกภาคของประเทศไทยยกเว้นภาคใต้

เนื้อพระสมเด็จวัดระฆังฯนั้น ถือว่าเป็นเนื้อปูนปั้นหรือปูนตำ โดยปูนตำชนิดนี้จัดเป็นประเภท “ปูนน้ำมัน” เนื่องจากมีการผสมน้ำมัน คือน้ำมันตังอิ๊ว เข้าไปด้วย ปูนน้ำมันนี้ถือว่าเป็นวัสดุที่ใช้ในงานปั้นปูน ที่เป็นงานประณีตศิลป์แขนงหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ และเป็นหมวดหมู่หนึ่งของช่างสิบหมู่คือ ช่างปูน ในการตำปูนจะต้องกะปริมาณให้พอดี เพราะเมื่อผสมกับน้ำมันตังอิ๊วแล้วจะมีการแข็งตัวเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ไม่สามารถนำมาใช้ซ้ำได้

น้ำมันที่ใช้ในการทำปูนตำหรือปูนน้ำมันนั้นมีหลายประเภท เช่นทางภาคเหนือจะใช้น้ำมันละหุ่ง จากการทดลองโดยผู้ทดลองใช้ปูนขาว น้ำมันประเภทต่างๆ ทรายละเอียดและชันผง พบว่าเมื่อใช้น้ำมันตังอิ๊วขณะที่ตำปูน ปูนจะรวมตัวกับน้ำมันได้ค่อนข้างช้ำเมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันชนิดอื่น ในการทดสอบปั้นปูน ตัวปูนที่มีเนื้อละเอียดจะสามารถทรงตัวได้ดีเมื่อปั้นเป็นลวดลาย และทรงตัวได้ดีขึ้นเมื่อเพิ่มทรายไปในส่วนผสม ปูนใช้เวลาแข็งตัวประมาณ 3-4 วัน สีของปูนจะออกน้ำตาลอมเหลือง เนื้อปูนค่อนข้างแกร่งและจับตัวเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อแตกออก ผลสรุปคือใช้ในการปั้นลวดลายได้ดี (อ้างอิงจากหนังสือ “ปูนน้ำมันกับน้ำมันชนิดต่างๆ” โดยฐิติ หัตถกิจ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร พิมพ์ปี พ.ศ. 2564)

เมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อพระสมเด็จฯอีกสองวัดแล้วจะเห็นได้ว่า พระสมเด็จวัดเกศไชโยนั้นส่วนใหญ่เป็นเนื้อปูนปั้นตามสูตรปูนตำโบราณผ่านกระบวนการกรองเนื้อปูนอย่างเข้มข้นทำให้เนื้อมีความละเอียดมากมีลักษณะคล้ายอมน้ำมัน และน่าจะจัดว่าเป็นปูนน้ำมันแบบหนึ่งได้ด้วยเช่นกัน ส่วนพระสมเด็จวัดบางขุนพรหมนั้น เป็นลักษณะเนื้อปูนปั้นเช่นกันแต่แก่ปูนมากมักมีส่วนผสมของมวลสารวิเศษน้อยกว่ามาก กระบวนการเตรียมเนื้อพระของทั้งสองวัดนี้จึงไม่น่าจะมีความยุ่งยากมากนักเมื่อเทียบกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ

บทสรุป

เม็ดพระธาตุและน้ำมันตังอิ๊วเป็นมวลสารหลักในการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังฯ การพบเม็ดพระธาตุโดยมีการเกิดรอยแยกตัวรอบ ๆ เม็ดพระธาตุในองค์พระสมเด็จฯ นั้น (เกิดจากการหดตัวเสื่อมสภาพของมวลสารต่าง ๆ ตามกาลเวลา) ถือว่าเป็นเครื่องบ่งชี้พระแท้ที่ค่อนข้างมีน้ำหนักมากอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม อาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกว่าปัจจุบันพระปลอมบางองค์ทำได้ใกล้เคียงกับพระแท้ สำหรับการพบเจอน้ำมันตังอิ๊วในองค์พระนั้น ถือว่าเป็นตัวช่วยในการพิจารณาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ควรจะต้องมีการพิจารณาพร้อมกับองค์ประกอบอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือตามแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯ ตามหลักวิชาการพิสูจน์หลักฐานด้วยเช่นกัน

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจพระสมเด็จศาสตร์ โดยพ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูปพระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระในปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ทรงเจดีย์องค์ครู ที่งดงามมากอีกองค์หนึ่ง สภาพผ่านการใช้, วรรณะขาวอมน้ำตาล, เนื้อหนึกนุ่ม, มีเม็ดพระธาตุปรากฏให้เห็น, มีรอยรูพรุนเข็ม, พื้นผนังองค์พระปรากฏรอยหนอนด้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเนื้อพระวัดระฆังฯ, พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา, ตัดขอบพอดีกรอบบังคับแม่พิมพ์, ด้านหลังเป็นแบบหลังกระดาน (หลังทื่อ), มีรอยปูไต่ (ขอบปริกระเทาะ) ทั้งสี่ด้านที่แสดงถึงธรรมชาติความเก่า เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : มวลสารหลักพระสมเด็จวัดระฆังฯ แท้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...