โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

กระทรวงการต่างประเทศ: ไทยยืนยัน “ปกป้องอธิปไตย” จากการยั่วยุของกัมพูชา

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

จากกรณีเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน (7 ธ.ค. 2568) จนถึงวันนี้ (8 ธ.ค. 2568) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปสถานการณ์แก่คณะทูตและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศรวม 73 คน โดยมีใจความสำคัญคือ การประณามการยั่วยุและการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา และ การยืนยันปฏิบัติการทางทหารของไทยเพื่อการป้องกันตนเอง

วันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 17.00 น. กระทรวงการต่างประเทศโดยนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าว เรื่องการบรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา

นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า จากกรณีเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่เมื่อวาน (7 ธ.ค. 2568) จนถึงวันนี้ (8 ธ.ค. 2568) นายศิริศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปสถานการณ์แก่คณะทูต 58 ประเทศและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศรวม 73 คน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำ 5 ประเด็นสำคัญต่อคณะทูตานุทูต ดังนี้

1. การยั่วยุแบบซ้ำซาก: สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึง “แทคติกแบบเดิม ๆ” ของกัมพูชาที่รุกรานก่อนแล้วปฏิเสธ พร้อมทั้งยั่วยุหลายรูปแบบ เช่น การลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ แม้จะพยายามสร้างภาพลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพ และพูดว่าใช้ความยับยั้งชั่งใจ แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นฝ่ายทั้งยุยง ยั่วยุ และรุกรานก่อน

2. ไทยมุ่งปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย: ไทยจำเป็นต้องดำเนินการทางทหารจนถึงที่สุดเพื่อปกป้อง อธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน

3. ความอดทนของคนไทยหมดลง: สาธารณชนไทยหมดความอดทน อดกลั้นต่อการกระทำของกัมพูชาที่ที่ไม่เคยคํานึงถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของไทย รวมถึงการที่คนไทยจะต้องเผชิญภัยคุกคามต่อความปลอดภัยมาครั้งแล้วครั้งเล่า เราจึงจะต้องปกป้องอธิปไตยและประชาชนของเรา จนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม

4. ท่าทีจะไม่เปลี่ยนแปลง: ท่าทีและการปฏิบัติการทางทหารของไทยจะดำเนินต่อไป จนกว่ากัมพูชาจะเปลี่ยนจุดยืน เช่น การเลือกเดินทางบนเส้นทางแห่งสันติภาพที่แท้จริง

5. กัมพูชาเหยียบย่ำข้อตกลง: กัมพูชาเป็นฝ่ายที่เหยียบย่ำข้อตกลงหยุดยิง และ ถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามร่วมกันเมื่อเดือนตุลาคมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านมาอย่างชัดเจน

นายนิกรเดชกล่าวต่อว่า เรื่องแรกที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด โดยเรียงลําดับเหตุการณ์ในลักษณะของ Timeline ซึ่งมีทั้งสิ้นประมาณ 14ครั้ง ที่เป็นที่ชัดเจนประจักษ์ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มการปะทะในครั้งนี้

วันที่ 7 ธ.ค. 2568: ฝ่ายกัมพูชาเปิดฉากยิงเข้ามาในพื้นที่ภูผาเหล็ก พลาญหินแปดก้อน อ. กันทรลักษ์ จ. ศรีสะเกษ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 2 นาย ไทยได้ทำหนังสือประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (ASEAN Observer Team:AOT) เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว

วันที่ 8 ธ.ค. 2568 (เช้ามืด): มีการปะทะต่อเนื่องหลายพื้นที่ ทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงงเข้ามายังฝั่งไทยต่อเนื่อง และมีรายงานการเคลื่อนย้ายอาวุธยิงระยะไกลเข้ามาในพื้นที่

ความสูญเสีย: ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 8 นาย และมีรายงานล่าสุดว่ากัมพูชาได้ยิง ขีปนาวุธชนิด BM-21 ใส่พลเรือนในฝั่งไทยด้วย

เหตุผลการโจมตีทางอากาศของไทย: ไทยจำเป็นต้องใช้การโจมตีทางอากาศ เนื่องจาก สภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออํานวยให้ดําเนินการทางอื่นได้ เนื่องจากพื้นที่เต็มไปด้วยทุ่นระเบิด

“ผมขอย้ําว่าการปฏิบัติการทางทหารของไทยเป็นไปเพื่อการปกป้องตนเอง หลังจากที่เราถูกโจมตีก่อน และเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ กฎการใช้กําลังตามหลักความจําเป็น ตามหลักความได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด เมื่อคํานึงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ และเพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามยกระดับความรุนแรงและเสี่ยงต่อการสูญเสียในอนาคตฝ่ายไทยจําเป็นต้องตอบโต้ตามหลักการที่ผมได้กล่าวแล้ว” นายนิกรเดชกล่าวและว่า โดยทุกปฏิบัติการของไทยจํากัดเฉพาะเป้าหมายทางทหาร และระมัดระวังอย่างที่สุดไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพลเรือน

นายนิกรเดชกล่าวว่า รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ย้ํากับคณะทูต 3 ข้อว่าการดําเนินการของไทยเป็นไปเพื่อ 1) การตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง (Self-Defense) หลังถูกโจมตีก่อน 2) เป็นไปตามกฎการใช้กําลัง กฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นไปอย่างได้สัดส่วน และ 3) มีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น

“ดังนั้นฝ่ายไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการเปิดฉากยิงเข้ามาในดินแดนไทยโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้เจ้าหน้าที่ไทย ทหารไทยเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายราย อีกทั้งยังเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องอพยพกันอย่างกะทันหัน” นายนิกรเดชกล่าว

การกระทําดังกล่าวต่อเนื่องจากการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโจมตีไทย ที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเพิ่งได้เดินทางไปเปิดเผยหลักฐานและชี้แจงต่อรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่เจนีวา อีกทั้งยังเป็นการละเมิดข้อตกลงทุกอย่างที่ผ่านมาอย่างชัดเจนทั้งข้อตกลงหยุดยิงและถ้อยแถลงร่วม Joint Declaration ซึ่งแสดงถึงการขาดความจริงใจในการแก้ไขความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยสันติอย่างชัดเจน

นายนิกรเดชกล่าวต่อว่า เรื่องที่สองที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้สรุปให้คณะทูตได้ทราบ คือ ผลกระทบของการโจมตีต่อประชาชน โดยได้ชี้แจงว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่การโจมตีของฝ่ายกัมพูชาทําให้ประชาชนไทยได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง โดย

  • การอพยพครั้งใหญ่: พลเรือนผู้บริสุทธิ์เกือบ 400,000 คน ใน 4 จังหวัดชายแดน (บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี) ต้องอพยพไปยังพื้นที่พักพิงชั่วคราว เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ไทยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา
  • กระทบสิทธิพื้นฐาน: โรงเรียนกว่า 600 แห่ง ใน 5 จังหวัดชายแดน และโรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนหลายแห่งต้องปิดทำการชั่วคราว กระทบต่อสิทธิขั้นพื้นฐานและบริการที่สำคัญของประชาชน

เรื่องที่สามและเรื่องสุดท้ายที่รัฐมนตรว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สรุปให้คณะทูตได้ทราบ คือ การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนโดยฝ่ายกัมพูชา นอกเหนือจากประเด็นการละเมิดข้อตกลงต่างๆ โดยการโจมตีฝ่ายไทยอย่างไร้มนุษยธรรมแล้ว

รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงประเด็นที่สามคือ การออกมาเผยแพร่ข้อมูลและข้อมูลที่บิดเบือนและให้ข้อมูลเท็จโดยไม่มีหลักฐานรองรับของฝ่ายกัมพูชา พฤติกรรมของกัมพูชาในครั้งนี้และครั้งก่อนๆยังคงชัดเจนว่าเป็นการสร้างสถานการณ์โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และมีเหตุจูงใจทางการเมือง ซึ่งเป็นรูปแบบซ้ําๆ ที่กัมพูชาได้ดําเนินการและใช้มาโดยตลอด โดยเฉพาะความพยายามเบี่ยงเบนความสนใจจากกรณีการวางทุ่นระเบิดในดินแดนไทย ที่ไทยเพิ่งได้รายงานต่อประชาคมโลก เนื่องจากเหตุปะทะครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเพียง 2-3วัน หลังจากที่ไทยแถลงต่อที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือ Ottawa Conventionครั้งที่ 22 และได้เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่กัมพูชาละเมิดพันธกรณีด้วยการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในดินแดนไทยหลายครั้ง กัมพูชาพยายามสร้างภาพว่าตนเป็นฝ่ายถูกคุกคามหรือถูกรังแกมาโดยตลอด แต่ไม่สามารถตอบคําถามของประชาคมโลกต่อพฤติกรรมการละเมิดของตนเอง และยังกระทําการยั่วยุให้ฝ่ายไทยตอบโต้เพื่อปกป้องชีวิตประชาชนไทยและรักษาอธิปไตยของเรา

“ท่านรัฐมนตรีได้ชี้แจงและยกตัวอย่างกรณีการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนของกัมพูชาในช่วงนี้ เช่น กรณีการใช้ภาพเก่ากล่าวหาว่าการตอบโต้ของไทยทําให้เด็กนักเรียนชาวกัมพูชาต้องวิ่งหนีอย่างชุลมุนโดยตั้งใจทั้งๆ ที่ได้ประกาศอพยพคนออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงการที่หลายหน่วยงานของกัมพูชาพร้อมกันออกมาให้ข้อมูลเท็จว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน จนเป็นเหตุให้กัมพูชาต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองในระยะเวลาสั้น แต่กลับมีเอกสารออกมาเผยแพร่ได้ในระยะเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่ถึงชั่วโมง” นายนิกรเดชกล่าว

กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการหลายอย่างหลังการบรรยายสรุปต่อคณะทูต ได้แก่ การเชิญเอกอัครราชทูตมาเลเซียและอุปทูตสหรัฐอเมริกา ในฐานะประเทศที่เป็นสักขีพยานการลงนาม Joint Declaration เข้าพบ กีระทรวงฯได้ออกหนังสือประท้วงไปยังกัมพูชา และมีหนังสือแจ้งเวียนไปยังประเทศสมาชิกอาเซียน มีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ และมีหนังสือประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

นายนิกรเดชกล่าวว่า “ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าหน่วยงานไทยทุกฝ่ายจะทํางานอย่างเต็มที่ และอย่างมีเอกภาพ เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทย และท่ามกลางความอ่อนไหวของสถานการณ์และการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่องและอย่างเป็นกระบวนการของฝ่ายกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางทางการ ไม่ว่าจะเป็นจากรัฐบาล กองทัพ หรือกระทรวงการต่างประเทศ และขอความร่วมมือ สื่อมวลชนนําเสนอข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน มิใช่การเลือกนําเสนอเฉพาะบางส่วนเพื่อพาดหัวข่าวที่ดึงดูดความสนใจเท่านั้น กระทรวงฯจะแถลงข่าวเป็นระยะๆ เพื่อให้ประชาชนได้ทราบข้อมูลข่าวสารที่ได้ตรวจสอบแล้วอย่างทันท่วงที

จากนั้นได้เปิดให้สื่อมวลชนซักถาม โดยประเด็นแรกเกี่ยวกับสถานะของถ้อยแถลงร่วม (Joint Declaration) นั้น นายนิกรเดชกล่าวว่า ขอยืนยันว่าเป็นคำถามเดียวกันกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบต่อคณะทูตานุทูตไปแล้ว สื่อจะต้องไปสอบถามฝ่ายกัมพูชาว่า ต้องการทำอย่างไรกับถ้อยแถลงร่วมฉบับนี้ ณ ขณะนี้ ไทยไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ เพราะกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดทุกอย่าง ทั้งข้อตกลงสันติภาพ รวมถึงถ้อยแถลงร่วมนี้ด้วย ส่วนเรื่องปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินต่อไปนั้น จนกว่าพวกเราจะรู้สึกปลอดภัย และจะดำเนินต่อไปจนกว่าอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยจะไม่ถูกคุกคาม

ประเด็นต่อมา การตั้งคณะผู้ตรวจสอบทุ่นระเบิดตามที่ไทยได้เรียกร้องและเหตุการณ์ปะทะล่าสุดจะมีผลต่อการขอจัดตั้งหรือไม่ นายนิกรเดชกล่าวว่า นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการก่อตั้งอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) ที่มีประเทศสมาชิก ยื่นเรื่องขอให้มีการใช้มาตรา 8 (Article 8) ของอนุสัญญา เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบอิสระ (Independent Body)

ดังนั้น “ผมจึงไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ และที่ประชุมเองก็ไม่สามารถตอบได้ในตอนนั้นเช่นกัน เนื่องจากไม่เคยมีคำร้องขอให้มีการใช้มาตรานี้มาก่อน เพื่อตั้งคณะผู้ตรวจสอบอิสระ (Independent Body) อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องแล้ว และจะดำเนินการพิจารณาว่าจะสามารถทำได้เร็วช้าเพียงใดในเรื่องไทม์ไลน์ ผมจึงให้ข้อมูลได้เพียงเท่านี้ เนื่องจาก ไม่เคยมีแบบอย่างหรือเหตุการณ์ที่เราจะต้อง ใช้มาตรา 8 มาก่อน แต่สิ่งที่ผมยืนยันได้คือ ที่ประชุมได้เห็นหลักฐาน ได้เห็นวิดีโอคลิป และประเทศไทยได้ใช้ สิทธิในการตอบโต้ (Right of Reply) ต่อการแก้ตัวของกัมพูชาอย่างที่พวกเขาทำมาโดยตลอด คนไทยขาขาดไป 7 คนแล้ว และมีทั้งรูป มีทั้งวิดีโอ มีทั้งหลักฐาน ดังนั้น ผมเชื่อว่าพวกเราควรจะมีความเชื่อมั่นในกระบวนการของพหุภาคีที่จัดตั้งขึ้นนี้ ว่าจะดำเนินการอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมต่อประเทศสมาชิก”

นายนิกรเดชกล่าวว่า คณะประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาจะมีการประชุมครั้งที่ 23 ในปีหน้า ซึ่งเอกราชทูตผู้แทนถาวรแซมเบียร์ประจําเจนีวา จะเป็นประธานการประชุมคนต่อไป รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ได้พบกับเอกราชทูตผู้แทนถาวรแซมเบียร์และสมาชิกที่สําคัญหลายประเทศมากทั้งในรูปแบบทางการและนอกรอบ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประเทศไทย และได้ทําทุกวิถีทางครับ ที่จะให้มีคณะผู้ตรวจสอบ เพราะไทยมั่นใจในความโปร่งใส ในระเบียบกฎ ความมีหลักฐาน ข้อเท็จจริงของไทย

ประเด็นต่อเนื่องจากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุมที่เจนีวา ซึ่งภายใต้มาตรา 8 นั้น มีทางเลือกสามทางในการดำเนินการจัดตั้งคณะผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระ คือ หนึ่ง การดำเนินการร่วมกันโดยมีกัมพูชาเข้ามาเกี่ยวข้อง สองคือ การขอความช่วยเหลือจากสำนักงานของเลขาธิการสหประชาชาติ และสามคือ การดำเนินการภายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Mine-Band Treaty Convention) ไทยกำลังพิจารณาทางเลือกใดในสามข้อนี้ และจากความตึงเครียดในขณะนี้ การเลือกทางเลือกแรกจะไม่เป็นปัญหาหรือ

นายนิกรเดชกล่าวว่า ไทยได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนและได้ปรึกษาหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องภายในประเทศไทยแล้ว ทุกฝ่ายหมายถึง ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เช่น ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thailand Mine Action Center:TMAC) ซึ่งอยู่กับไทยในการประชุมด้วย

“เราเห็นว่าเราได้พยายามใช้ทุกทางเลือกที่มีแล้ว และเราเห็นว่าจากหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เรามีอยู่ ซึ่งเราได้นำเสนอต่อที่ประชุมรัฐภาคีไปแล้วนั้น เราเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น และเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้อง เปิดใช้มาตรา 8 และหากกัมพูชามีความโปร่งใสและมีเจตจำนงทางการเมืองที่จะทำงานร่วมกับเรา พวกเขาก็ควรพร้อมรับมาตรานี้” นายนิกรเดชกล่าว

ประเด็นต่อมา ณ เวลานี้ ประเทศไทยต้องการการสนับสนุนใด ๆ จากประชาคมระหว่างประเทศหรือไม่? และถ้าต้องการ จะเป็นการสนับสนุนในรูปแบบใด

นายนิกรเดชตอบว่า ไม่ ในขณะนี้ เราไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องขอรับการสนับสนุนจากนานาชาติใด ๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ทุกอย่างที่เราดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน โดยสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศและหลักการความได้สัดส่วนอย่างเคร่งครัด

“สำหรับเวลานี้ ประเทศไทยจะสามารถดูแลบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยของเราได้ด้วยตนเอง”

ประเด็นต่อมาสถานะตอนนี้กับทางกัมพูชาอยู่ในขั้นลดระดับความสัมพันธ์หรือจะหนักขึ้นอย่างไร หรือมีมาตรการอย่างไรมากขึ้นจากปัจจุบัน

นายนิกรเดชกล่าวว่า เราลดความสัมพันธ์ลงไปแล้ว นานมาแล้ว และก็ยังคงสถานะการลดระดับความสัมพันธ์ทวิภาคีอยู่ ยังไม่ไปมากกว่านั้น “ผมตอบไม่ได้ว่า ณ วันนี้ จะไปไกลกว่านั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฝั่งกัมพูชาด้วย”

“สิ่งที่เราทําได้ตอนนี้ก็คือเราพยายามดูแลคนไทย ซึ่งเป็น mandateหลักๆ ของรัฐบาลของไทย ของกระทรวงการต่างประเทศที่อยู่ที่นั่น เราก็จะต้องคอยประเมินสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ผมคิดว่าคงต้องเป็นรายวัน” นายนิกรเดชกล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...