โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

เลขาฯบีโอไอ ผ่าแนวโน้มการลงทุนไทย 2569 ปลดล็อกที่ดิน-ไฟฟ้า-แรงงาน

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สถานการณ์ด้านการลงทุนของไทยในปี 2569 ยังคงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่กำลังเกิดการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง รวมทั้งยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะสงครามการค้า และความยัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์

ฐานเศรษฐกิจ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ถึงแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทยในปี 2569 โดยยอมรับว่า ในปี 2569 การลงทุนยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปี 2568 คาดว่า ตัวเลขการลงทุนจะขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจัยทางด้านการเมืองจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจมากนัก เพราะนักลงทุนเข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยดี

“ในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า แม้การเมืองจะเปลี่ยน แต่นโยบายของทุกรัฐบาลก็เน้นการดึงดูดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติยังคงแข็งแกร่ง และไม่ได้รับผลกระทบอะไร ซึ่งในปีหน้าบีโอไอก็คาดว่า แนวโน้มการลงทุนต่างชาติยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยตัวเลขล่าสุด 9 เดือนของปีนี้ ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีมูลค่ารวมทะลุ 1.3 ล้านล้านบาทแล้ว” นายนฤตม์ ระบุ

เปิด 5 ปัจจัยหนุนการลงทุน ปี 2569

ทั้งนี้บีโอไอประเมินปัจจัยหลักที่สนับสนุนการลงทุนในประเทศไทยในปี 2569 ดังนี้

1.กระแสการโยกย้ายฐานการลงทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างขั้วมหาอำนาจต่างๆ ของโลก บริษัทใหญ่จำนวนมากที่เคยมีฐานผลิตในจีน ขณะเดียวกันก็เริ่มขยับขยายออกมาหาฐานผลิตใหม่ โดยยังคงฐานผลิตในจีนสำหรับตลาดจีน (China for China) และมุ่งมาลงทุนที่อาเซียนเพื่อใช้เป็นฐานผลิตและส่งออกไปยังตลาดโลก รวมทั้งตลาดในสหรัฐอเมริกา

2.การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดและการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำให้เกิดการเร่งลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลโดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์ และโครงสร้างพื้นฐาน AI เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว

3.เทรนด์โลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืน (Sustainability) และเป้าหมายการลดคาร์บอน (Decarbonization) ทำให้เกิดกระแสการลงทุนสีเขียวที่ครอบคลุม ได้แก่ Green products, Green packaging, Green supply chain & logistics โดยเฉพาะพลังงานสะอาด (Green energy) มีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดการลงทุนในกลุ่มพลังงานสะอาดพุ่งสูงขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

4.การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย (Aging Society) ทำให้กำลังแรงงานลดน้อยลง เราจำเป็นต้องยกระดับบุคลากรให้ทำงานที่มีคุณค่าสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำงานแทนคนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนในกลุ่มธุรกิจดิจิทัล รวมทั้งอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ (Digitalization & Automation) นั้นขยายตัวอย่างรวดเร็ว

5.มาตรการภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ซึ่งเป็นกติกาภาษีใหม่ทำให้แต่ละประเทศต้องแข่งขันกันด้วยเครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษี เช่น ความสะดวกในการลงทุนและปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น

ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดในปี 2569 คือความไม่แน่นอนที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ความไม่แน่นอนจากนโยบายของประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" ของสหรัฐ รวมทั้งความผันผวนของค่าเงินบาท ที่เคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกที่เข้ามาลงทุนในไทยอย่างมาก

กางแผน 5 ด้านสำคัญผลักดันการลงทุน

อย่างไรก็ตามบีโอไอจะยังพร้อมผลักดันการลงทุนในประเทศ เพื่อนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และพัฒนาระบบนิเวศภายในประเทศ รองรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยผ่าน 5 ภารกิจสำคัญ ดังนี้

1.การดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะการสร้างฐาน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมากขึ้น ได้แก่ BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัลและ AI, กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (Regional Headquarter) รวมทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่นๆ เช่น ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ อากาศยาน การแพทย์ เป็นต้น

2. การดึงดูดกลุ่มบุคลากรทักษะสูง หรือ Talent ให้เข้ามาช่วยพัฒนาประเทศ ผ่านการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และสิทธิประโยชน์อื่นๆ โดยในส่วนของ BOI รับผิดชอบวีซ่า 3 ประเภทสำคัญ คือ BOI visa, Long-term Resident (LTR) visa และ SMART visa รวมทั้งศูนย์ One Stop Service ที่ใช้ชื่อว่า Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) โดยปัจจุบันเปิดดำเนินการ ณ อาคาร One Bangkok

3.การพัฒนาบุคลากรไทย เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยผลักดันผ่าน “มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่” เป็นการให้เงินสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ปัจจุบันมีผู้ยื่นขออนุมัติหลักสูตรกว่า 100 ราย รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 หลักสูตร

โดยตั้งเป้าหมายจำนวนผู้ที่คาดว่าจะเข้ารับการฝึกอบรมเกินเป้า 1 แสนคนซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดกรอง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบีโอไอ กระทรวงอุดมศึกษาวิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน โดยจะทยอยเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติตั้งแต่เดือนมกราคม 2569 เป็นต้นไป

4. การเสริมสร้างความเข้มแข็งซัพพลายเชนเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และดาต้าเซ็นเตอร์ โดยบีโอไอจะเดินหน้าจัดกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศและผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เช่น งาน Subcon Thailand, THECA และงาน Sourcing Day ที่บีโอไอจับมือกับบริษัทแต่ละราย

รวมทั้งมาตรการด้านสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างไทย-ต่างชาติ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local content) ซึ่งจะสร้างระบบนิเวศให้อุตสาหกรรมในอนาคต ขณะเดียวกันหากประเทศไทยสามารถเจรจา FTA โดยเฉพาะ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนที่มากขึ้น เพราะ EU ถือเป็นตลาดใหญ่ที่จะดึงบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนได้

5.การอำนวยความะสะดวกในการลงทุน หรือ Ease of Investment ผ่านกลไก “Thailand Fast Pass” ซึ่งบอร์ดบีโอไอได้คัดเลือกโครงการที่จะได้รับบัตร Fast Pass ล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุนรวมกว่า 1.7 แสนล้านบาท

ขณะเดียวกันบีโอไอกำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมศุลกากร กรมโยธาธิการและผังเมือง หน่วยงานด้านไฟฟ้า คาดว่าจะลดขั้นตอนขอใบอนุญาตลงได้ 20-50%

เตรียมปลดล็อคอุปสรรคนักลงทุน

นายนฤตม์ กล่าวว่า บีโอไอยังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อปลดล็อคอุปสรรคของการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านไฟฟ้าและพลังงานสะอาด การขยายพื้นที่สำหรับการลงทุน การปรับปรุงระบบวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน รวมทั้งอุปสรรคด้านอื่น ๆ โดยเตรียมปลดล็อกแก้ปัญหาให้กับนักลงทุนคือการแก้ปัญหาด้านที่ดิน และไฟฟ้า

โดยในด้านที่ดิน ปัจจุบันที่ดินผืนใหญ่ที่เป็นพื้นที่สีม่วง (อุตสาหกรรม) โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เริ่มขาดแคลนและมีราคาสูง บีโอไอจึงเร่งประสานเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่ได้ใช้งานแต่ติดข้อกฎหมายทำให้การพัฒนาที่ดินล่าช้า ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 20 โครงการที่ติดปัญหานี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ เช่น คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ในภาคเหนือ (ลำพูน-ลำปาง) และอุตสาหกรรมแปรรูปในภาคอีสานเพื่อกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาค

ส่วนของด้านพลังงาน บีโอไอพบว่านักลงทุนมีความต้องการพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซนเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ต้องการพลังงานสะอาด 100%

ทั้งนี้บีโอไอจึงทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อผลักดันกลไก Direct PPA 2,00 เมกะวัตต์ และ UGT 2 (Utility Green Tariff) ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรูปแบบสามารถตรวจสอบแหล่งที่มาได้ รวมทั้งอยู่ระหว่างทำแผนที่พลังงาน (Power Map) ร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อดูพื้นที่ที่มีความพร้อมในการลงทุนดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งอาจอยู่นอกพื้นที่อีอีซี เป็นต้น

สำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย นายนฤตม์ กล่าวว่าเป้าหมายใหญ่ของไทยคือ การเปลี่ยนจากผู้นำเข้า EV เป็นผู้ผลิตเพื่อรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศเอาไว้ให้ได้ แม้ปัจจุบันจะเกิดสงครามราคาจากการหดตัวของตลาดรถยนต์ในประเทศ แต่บีโอไอและบอร์ด EV ได้ปรับมาตรการอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเพื่อจูงใจให้ค่ายรถส่งออกมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากสต็อกสินค้าในประเทศ

“บีโอไอให้ความสำคัญกับการสร้าง Ecosystem ที่ครบวงจรมากกว่าการมุ่งเน้นเพียงโรงงานประกอบรถยนต์เพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ซึ่งแบตเตอรี่คือหัวใจสำคัญ ล่าสุดได้ส่งเสริมโครงการแบตเตอรี่ระดับโมดูลและแพ็คไปแล้วเกือบ 50 โครงการ และกำลังเร่งผลักดันการผลิตระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นน้ำ โดยอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 2-3 โครงการ เพื่อทำให้ไทยเป็นฐานผลิตวัตถุดิบต้นน้ำเข้ามาในห่วงโซ่อุปทานต่อไป”นายนฤตม์ กล่าวทิ้งท้าย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...