โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

"พระศรีศิลป์" ผู้ถูกสำเร็จโทษ 'ท่อนจันทน์' 2 รอบ

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 28 พ.ย. 2567 เวลา 05.37 น. • เผยแพร่ 28 พ.ย. 2567 เวลา 05.37 น.
ภาพสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ จินตนาการจากกฎมณเฑียรบาล โดย ธีรพันธ์ ลอไพบูลย์

‘จันทน์’ คือไม้หอมราคาสูง สมัยโบราณนอกจากนำมาทำสิ่งก่อสร้าง เช่น วัง ตำหนัก ฯลฯ ยังใช้ทำโกศและหีบบรรจุศพ ตลอดจนเป็นเชื้อเพลิงเผาศพ

“พจนานุกรมสถาปัตยกรรมและศิลปเกี่ยวเนื่อง” ของอาจารย์โชติ กัลยาณมิตร กล่าวถึงอีกบทบาทหนึ่งของไม้ชนิดนี้ว่า

“ใช้เป็นไม้สำหรับทุบประหารผู้ที่เป็นจ้าวมีฐานันดร โดยมีคติว่าผู้ที่เป็นจ้าวจะประหารให้เลือดตกด้วยของมีคมไม่ได้ และท่อนไม้จันทน์ที่ใช้เป็นเครื่องมือประหารก็จะต้องห่อหุ้มด้วยผ้าแดง” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

เหตุผลที่ใช้ท่อนจันทน์ประหารเจ้านายแทนของมีคม ผู้เขียนจำได้ว่าศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี แย้มนัดดา เคยอธิบายให้ฟัง ดังนี้

‘ไทยเรามีความเชื่อว่าจะประหารเจ้านายด้วยของมีคม เช่น มีดหรือดาบให้เลือดตกถึงพื้นดินไม่ได้ เพราะจะเกิดอุบาทว์หรือสิ่งอัปมงคลในบ้านเมือง ส่งผลกระทบรุนแรงในวงกว้าง เช่น ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนอาหาร เกิดโรคภัยและภัยธรรมชาติอย่างไม่เคยเป็นมา ผู้คนเข่นฆ่ากันเอง แผ่นดินไหวแตกทำลาย เดือดร้อนวุ่นวายไปทั่ว ฯลฯ’

ไม้จันทน์ หรือ ‘ท่อนจันทน์’ ในสมัยโบราณเป็นเครื่องมือประหารหรือสำเร็จโทษเจ้านายตั้งแต่กษัตริย์ พระมเหสี พระโอรสธิดาไปจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ ใช้ตีหรือทุบ ลักษณะของท่อนจันทน์บันทึกไว้ในหนังสือ“สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์” ของปรามินทร์ เครือทอง ตอนหนึ่งว่าเป็น

“ไม้ค้อนขนาดใหญ่ที่มีปลายด้านหนึ่งใหญ่กว่าอีกด้านหนึ่ง รูปร่างคล้ายสากตำข้าว ทำจากไม้จันทน์หอม หลังจากพิธีประหารชีวิตเสร็จสิ้น จักใส่ไปในหลุมศพด้วย”

วรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์กล่าวถึงท่อนจันทน์ไว้ในบทละครนอกเรื่อง “สังข์ทอง” รัชกาลที่ 2 ทรงเล่าถึงพระสังข์ถูกบรรดาเสนาหลอกให้นอนพักก่อนพาไปหาพระมารดา จุดประสงค์แท้จริงเพื่อสังหารกุมารน้อยตามคำสั่งท้าวยศวิมล

“ว่าพลางทางปูผ้าผ่อน ขับต้อนคนผู้ไม่อยู่ใกล้

ล่อลวงหลอกหลอนให้นอนไป หมายใจเสนาจะฆ่าตี

อาเพศด้วยเดชกุมารา เทวารักษาพระไทรศรี

ออกช่วยป้องกันทันที เมื่อเสนีมันทุบด้วยท่อนจันทน์”

การใช้ท่อนจันทน์เป็นเครื่องมือประหารเท่ากับยอมรับว่าพระสังข์มิใช่สามัญชนคนธรรมดา แต่เป็นเชื้อสายกษัตริย์

การประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ใช่จะเพิ่งมีขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ สมัยอยุธยาก็มีแล้ว ดังจะเห็นได้จาก “กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน” เล่ม 2 ในส่วนของ ‘กฎมณเฑียรบาล’ ระบุถึงการลงโทษเจ้านายระดับสูงไว้ว่า

“อนึ่ง ถ้าอยู่ในเมืองที่จำแลมีผู้ไปคบไปหาให้ของฝากของถวายไหว้คนโทษถึงตาย ถ้าแลโทษหนักถึงสิ้นชีวิตไซ้ ให้ส่งแก่ทลวงฟันหลังและนายแวงหลัง เอาไปมล้างในโคกพญา นายแวงนั่งทับตัก ขุนดาบขุนใหญ่ไปนั่งดู หมื่นทลวงฟันกราบ ๓ คาบ ตีด้วยท่อนจันทน์แล้วเอาลงขุม” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ข้อความข้างต้นกล่าวถึง เจ้าหน้าที่สำเร็จโทษ เครื่องมือที่ใช้ บทบาทหน้าที่ วิธีการ สถานที่ และสักขีพยาน

นายแวงและหมื่นทลวงฟันร่วมกันสำเร็จโทษที่วัดโคกพญา นายแวงนั่งทับตักนักโทษโดยหันหน้าเข้าหากันและใช้แขนกอดรัดไว้แน่น ตรึงร่างนักโทษให้อยู่กับที่ ต่อจากนั้นหมื่นทลวงฟันทำหน้าที่เพชฌฆาต ก้มกราบสามครั้งก่อนใช้ท่อนจันทน์ตีต้นคอนักโทษอย่างแม่นยำ มิให้พลาดไปถูกนายแวง

ผลคือนักโทษคอหักในสภาพซบหน้าตายคาอกนายแวง ส่วนขุนดาบและขุนใหญ่ทำหน้าที่สักขีพยานดูการประหารจนเสร็จสิ้น เอาศพลงหลุมที่ขุดเตรียมไว้

ต้นคอเป็นตำแหน่งที่ตีหรือทุบด้วยท่อนจันทน์ หนังสือ “เล่าเรื่องกรุงสยาม” ของสังฆราชปาลเลกัวซ์ (ฉบับสันต์ ท. โกมลบุตร แปล) บันทึกว่า

“ส่วนพระโอรสที่ทรงกระทำผิด จะถูกนำพระองค์ไปที่วัด ขึงพืดเข้ากับพื้นดิน แล้วใช้ไม้จันทน์ขนาดใหญ่สองท่อนทุบต้นพระศอ”

ตำแหน่งที่ตีหรือทุบนี้ บางครั้งไม่ใช่ต้นคอก็มี ดังที่ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ 79 “จดหมายเหตุวันวลิต” เล่าถึงเหตุการณ์สมัยกรุงศรีอยุธยาว่า

“หลังจากนั้น พระเจ้าแผ่นดินและพระราชมารดา ก็ถูกนำตัวไปยังวัดปรักหักพังรกร้างวัดหนึ่ง ชื่อว่าวัดพระเมรุโคกพญา เพชฌฆาตให้พระองค์นอนลงบนพรมสีแดง และทุบพระองค์ด้วยท่อนไม้จันทน์ที่พระนาภี (= ท้อง) แล้วโยนพระสรีระของทั้งสองพระองค์ลงในบ่อ ซึ่งพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ที่นั่น”

ไม่ต่างจากที่ “จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับ สันต์ ท. โกมลบุตร แปล) เล่าถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า

“การลงโทษเจ้านาย ก็ถือกันอย่างเคร่งครัดว่ามิพึงให้พระขัตติยโลหิตต้องตกจากพระวรกาย…ฯลฯ จับพระองค์ให้บรรทมเหนือเจียมสักหลาด แล้วเอาท่อนไม้จันทน์ทิ่มเข้าไปในพระอุทร ไม้ชนิดนี้มีเนื้อหอมและถือกันว่าเป็นของสูง”

พระราชพงศาวดารส่วนใหญ่มักบันทึกเกี่ยวกับการสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ไว้สั้นๆ ประหารเจ้านายครั้งละองค์ก็มี หรือมากกว่านั้นก็ได้

แต่ละกรณีหลังสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์แล้ว ชีวิตนักโทษก็หลุดลอย มีเพียงกรณีเดียวต้องจัดการถึงสองคราในวาระต่างๆ กันจึงบรรลุผล ดังกรณีของพระศรีสิงห์ (พระศรีศิลป์) ที่คิดร้ายต่อสมเด็จพระนารายณ์หลายครั้ง หนังสือ“คำให้การของชาวกรุงเก่า” บันทึกว่า

“จึงรับสั่งให้เพ็ชฌฆาฎเอาตัวพระศรีสิงห์ไปสำเร็จโทษเสียตามประเพณี ประเพณีที่จะสำเร็จโทษเจ้านายในครั้งนั้น เอาถุงแดงสวมตั้งแต่พระเศียรลงไปตลอดปลายพระบาท แล้วเอาเชือกรัดให้แน่น เอาท่อนจันทน์ทุบให้สิ้นพระชนม์แล้วเอาใส่หลุมฝัง ให้เจ้าหน้าที่รักษาอยู่ ๗ วัน ดังนี้

เพ็ชฌฆาฎก็เอาตัวพระศรีสิงห์ไปสำเร็จโทษตามรับสั่ง แต่ทำโดยความเลินเล่อ พระศรีสิงห์มิได้สิ้นพระชนม์ เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาอยู่ ๗ วัน เห็นว่าพ้นกำหนดแล้ว ก็พากันกลับ พวกมหาดเล็กของพระศรีสิงห์ไปขุดศพเห็นยังไม่สิ้นพระชนม์ ก็นำพระศรีสิงห์ไปรักษาอยู่ที่ตำบลบ้านขาว ครั้นพระศรีสิงห์หายเปนปรกติแล้วก็ตั้งเกลี้ยกล่อมผู้คนเปนกำลังได้เปนอันมาก……..ฯลฯ……..พระศรีสิงห์ก็ยกเข้ามาทางประตูพรหมจักรด้านทิศตะวันออก เข้าไปถึงพระราชวังชั้นใน พระนารายณ์ไม่ทันรู้พระองค์ก็ตกพระทัย จึงรีบเสด็จหนีออกจากพระราชวัง พระศรีสิงห์ก็ให้ทำพิธีราชาภิเษก ขึ้นครองราชสมบัติอยู่ได้วัน ๑ กับคืน ๑

เมื่อพระนารายณ์หนีออกไปได้แล้ว ก็ให้รวบรวมได้ไพร่พลเปนอันมาก ยกเข้ามาจับพระศรีสิงห์ได้ จึงให้เอาตัวไปสำเร็จโทษเสียอย่างครั้งก่อน พวกเพ็ชฌฆาฎเอาพระศรีสิงห์ไปแล้ว เอาถุงแดงสวมผูกให้มั่นคง เอาท่อนจันทน์ทุบจนลเอียด ลเอียดแล้วจึงเอาลงหลุมฝัง” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ไทยเลิกใช้ท่อนจันทน์เป็นเครื่องมือประหารมาแต่สมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ฉบับนี้จันทน์สังหาร ฉบับหน้าจันทน์เพลินอารมณ์ •

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร

https://twitter.com/matichonweekly/status/1552197630306177024?fbclid=IwAR22RbstgOdFjK3Kl_MAt_MusBlq5oxijEcCbx_-0y6zmJhXvZl3Q_2G-cE

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “พระศรีศิลป์” ผู้ถูกสำเร็จโทษ ‘ท่อนจันทน์’ 2 รอบ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichonweekly.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...