โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

ไทยยื่นหนังสือถึง UNSC ชี้กัมพูชาละเมิดอธิปไตย โจมตีด้วยอาวุธหนักไม่เลือกเป้า

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา
เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย ถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วันนี้ (10 ธ.ค.) ระบุว่า กัมพูชาเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อไทยโดยปราศจากการยั่วยุ ตั้งแต่วันที่ 7-8 ธันวาคม 2568 ใช้อาวุธหนักโจมตีไม่เลือกเป้าหมายใน 5 จังหวัดชายแดน ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพ ไทยยืนยันจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ พร้อมประณามกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จกล่าวหาไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการจากรัฐบาลไทย ถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) วันนี้ (10 ธ.ค.) ระบุว่า กัมพูชาเปิดฉากโจมตีทางทหารต่อไทยโดยปราศจากการยั่วยุ ตั้งแต่วันที่ 7-8 ธันวาคม 2568 ใช้อาวุธหนักโจมตีไม่เลือกเป้าหมายใน 5 จังหวัดชายแดน ส่งผลให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่ประชาชนกว่า 400,000 คนต้องอพยพ

ไทยยืนยันจำเป็นต้องใช้สิทธิในการป้องกันตนเองตามกฎบัตรสหประชาชาติ พร้อมประณามกัมพูชาเผยแพร่ข้อมูลเท็จกล่าวหาไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

สาระสำคัญ ดังนี้

เรียน เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรสโลวีเนียประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก

กระผมขอเรียนให้ท่านและสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทราบโดยเร่งด่วนถึงการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทยอย่างร้ายแรงล่าสุด อันเนื่องมาจากการรุกรานและการโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุของกัมพูชาต่อไทย ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 เวลา 14:15 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดยิงใส่ทหารไทยจากหน่วยกองพันทหารราบที่ 13 ซึ่งปฏิบัติภารกิจปรับปรุงเส้นทางภายในดินแดนของไทยในพื้นที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ การโจมตีดังกล่าวทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย โดยในจำนวนนี้ ทหารหนึ่งนายได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอกและทหารอีกหนึ่งนายถูกยิงบริเวณขาขวา ทั้งนี้ ทหารกัมพูชายังคงยิงใส่ทหารไทยอย่างต่อเนื่องจนถึงเวลา 14:50 น.

2. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 เวลา 05:05 น. ทหารกัมพูชาได้เริ่มโจมตีฐานทหารไทยโดยปราศจากการยั่วยุใดๆ ในพื้นที่ช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี ตามด้วยการโจมตีในวงกว้างอย่างไม่เลือกเป้าหมายตลอดหลายพื้นที่ภายในดินแดนของไทยในจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี

ต่อมาในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ทหารกัมพูชายังได้ยกระดับการโจมตีอีกครั้งด้วยการยิงอาวุธหนักใส่ทหารไทยที่ประจำการในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ณ เวลา 18:00 น.

การโจมตีรุกรานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ 5 จังหวัดของไทย ทำให้ทหารไทยเสียชีวิต 1 นาย และบาดเจ็บ 18 นาย โดยในจำนวนนี้ ทหาร 3 นายอาการสาหัส และมีประชาชนจำนวนกว่า 400,000 คน ต้องอพยพจากที่พักอาศัย โดยในจำนวนนี้ มีประชาชน 2 ราย ที่เสียชีวิตจากอาการหัวใจวาย

ในระหว่างการอพยพตลอดทั้งวัน กำลังทหารกัมพูชาได้ดำเนินการโจมตีดินแดนของไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้สัดส่วนและผิดกฎหมาย โดยเจตนามุ่งเป้าหมายโจมตีพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน ปฏิบัติการดังกล่าวใช้อาวุธหนักหลายชนิด รวมถึงเครื่องยิงระบบจรวดหลายลำกล้อง ปืนครก และปืนกลหนัก และยังเสริมด้วยการเคลื่อนย้ายอาวุธหนักและกำลังพลของกัมพูชาตามแนวชายแดนอย่างต่อเนื่อง

3. การโจมตีทางอาวุธโดยปราศจากการยั่วยุและไม่เลือกเป้าหมายดังกล่าวของกัมพูชาต่อดินแดนของไทยในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดสระแก้ว เป็นการละเมิดข้อ 2 วรรค 4 ของกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการอยู่ร่วมกันฉันมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านและหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างรัฐอย่างชัดเจน

เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าว ไทยจึงมีความจำเป็นต้องใช้สิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติเพื่อรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน และปกป้องความปลอดภัยของประชาชนไทย มาตรการป้องกันตนเองดังกล่าวดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะหลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน มาตรการเหล่านี้จำกัดขอบเขต ได้สัดส่วนตามภัยคุกคาม และมุ่งเป้าหมายเพื่อยับยั้งภัยอันตรายที่ชัดแจ้งจากทหารกัมพูชา โดยใช้ความพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบและอันตรายต่อพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือน

4. เป็นที่น่าเสียใจว่า ในทันทีภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ข้างต้น ทางการของกัมพูชาได้ตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเท็จ โดยกล่าวหาว่า ไทยเป็นฝ่ายเริ่มการโจมตีก่อน ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายกัมพูชาได้เริ่มยิงใส่ทหารไทยและดินแดนของไทยก่อน การกระทำนี้แสดงถึงการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชาอีกครั้ง ไทยขอปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อข้อกล่าวหาที่ไร้มูลความจริงอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบิดเขือนข้อเท็จจริงและบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในประชาคมระหว่างประเทศ

5. การโจมตีทางอาวุธล่าสุดของกัมพูชาสะท้อนรูปแบบความเป็นปฏิบักษ์ต่อไทยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทวีความรุนแรงขึ้น รูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาหลังจากการกระทำที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในลักษณะไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าและเป็นการยั่วยุของกัมพูชา ซึ่งรวมถึงการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ใหม่ของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมายในดินแดนของไทยหลายครั้ง ทำให้ทหารไทยพิการถาวรรวม 7 นาย โดยเหตุการณ์ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 และต่อมา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568

ทหารกัมพูชาจงใจเปิดยิงใส่ทหารไทยในดินแดนอธิปไตยของไทย การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อพันธกรณีที่มีร่วมกันภายใต้ “ถ้อยแถลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” ลงนามโดยผู้นำของไทยและกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ผ่านการเป็นคนกลางในการประสานงานของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

6. ประเทศไทยประณามอย่างรุนแรงต่อการรุกรานของกัมพูชา การโจมตีทางอาวุธโดยไม่เลือกเป้าหมายต่อพลเรือน โครงสร้างพื้นฐานทางพลเรือน และสถานที่สาธารณะต่างๆ และเจตนาที่ปรากฏชัดในการทำร้ายกำลังพลของไทยภายในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างไร้ความรับผิดชอบและต่อเนื่องของกัมพูชาต่อไทยมีแต่จะเพิ่มความถึงเครียด ทำลายความมุ่งมั่นที่มีร่วมกันภายใต้ถ้อยแถลงร่วมฯ และข้อตกลงที่บรรลุในกรอบการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (RBC) อีกทั้งยังกัดกร่อนความไว้วางใจระหว่างกันซึ่งมีความจำเป็นต่อการมีปฏิสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์

7. ในการนี้ ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาชี้แจงอย่างครบถ้วน รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่และดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก ไทยร้องขอประชาคมระหว่างประเทศให้เรียกร้องต่อกัมพูชาให้ยุติการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์และการยั่วยุทั้งหมดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนชาวไทย ทำลายความมั่นคงชายแดน และเป็นการละเมิดอธิบไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า กัมพูชาต้องปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเต็มที่ และแสดงความจริงใจและสุจริตใจในการฟื้นฟูสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

ในการนี้ กระผมขอความอนุเคราะห์ให้เวียนหนังสือฉบับนี้แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทุกประเทศ ในฐานะเอกสารของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เพื่อให้รับทราบข้อมูลข้างต้นโดยเร่งด่วน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...