โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

กับดักประเทศไทย! เน้นเสพ.. ไม่สร้าง เน้นซื้อ.. ไม่คิด - เน้นขาย.. ไม่ผลิต

ThaiFranchiseCenter

เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ประเทศไทยกำลังติดอยู่ใน "กับดักวัฏจักรบริโภคนิยม" ที่วนเวียนไม่จบสิ้น สิ่งที่เห็นชัดเจนในยุคสมัยนี้คือ คนส่วนใหญ่ เสพมากกว่าสร้าง , ซื้อมากกว่าคิด , ขายมากกว่าผลิต ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตแบบผิวเผิน แต่ฐานรากเปราะบาง

แน่นอนว่าเมื่อวิกฤตมาเยือน เช่น โควิด-19 หรือสงครามการค้า ประเทศจึงสะเทือนหนักกว่าชาติอื่น ๆ ที่มีพื้นฐานการผลิตและนวัตกรรมแข็งแกร่ง

ถ้าไล่เรียงไปดูปัญหาที่เป็นผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจของเมืองไทยพบว่ามีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ

  • หนี้ครัวเรือนและการบริโภคที่อ่อนแอ โดยหนี้ครัวเรือนมีสูงถึง 90% ของ GDP ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย ธุรกิจค้าปลีก / ร้านอาหาร / บริการ ได้รับผลกระทบทั่วถึง ยอดขายบางทีอาจทรงตัวแต่กำไรลดลงมากจากต้นทุนหลายด้านที่เพิ่ม
  • ภาระหนี้สินของธุรกิจ SMEs ยังคงมีสูง ซึ่งธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจ กำลังเผชิญความเสี่ยงสูงสุดบริษัทส่วนใหญ่ยังอยู่รอดได้ด้วยสินเชื่อเงินกู้แต่ตัวธุรกิจไม่มีกำไร
  • ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอัตราภาษีจากต่างประเทศ รวมถึงการต้องแข่งขันกับตลาดจีนที่มีสินค้าเข้ามาเจาะตลาดเพิ่มสูงมาก เป็นผลกระทบโดยตรงที่ยิ่งสร้างให้ธุรกิจไทยมีความเปราะบางมากขึ้น

อย่างไรก็ดีทุกปัญหาและทุกปัจจัยกลับกลายเป็นการกระตุ้นให้คนไทยติดอยู่ในกับดักที่ไม่มีวันจบสิ้น และถ้ายังไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองให้พ้นกับดักนี้จะเป็นสัญญาณอันตรายต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในอนาคตมากขึ้น

เน้นเสพ.. ไม่สร้าง : วัฒนธรรมบริโภคที่กลืนกินการลงทุนสร้างสรรค์

ภาพจาก https://elements.envato.com

สังคมไทยยุคใหม่ คนไทย "เสพ" มากกว่า "สร้าง" จนกลายเป็นชาติผู้บริโภคเนื้อหาและสินค้านำเข้า โดยไม่ลงทุนผลิตของตัวเอง เห็นภาพได้ชัดเจนจากตัวเลขในปี 2567 ที่มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค สูงถึง 1.2 ล้านล้านบาท

ขณะที่การลงทุนใน R&D (วิจัยและพัฒนา) อยู่ที่เพียง 1.33% ของ GDP เทียบกับเกาหลีใต้ 4.9% และอิสราเอล 5.4% จะเห็นได้ชัดว่าตัวเลขของเราต่ำกว่ามาก หรืออีกตัวอย่างที่เด่นชัดคือในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งอย่าง Netflix มีผู้ใช้ในไทยกว่า

7 ล้านบัญชีแต่คอนเทนต์ไทยที่ผลิตเองมีสัดส่วนไม่ถึง 5% รวมถึงวัฒนธรรมที่เน้นการบริโภคตามกระแส (Fast Fashion) เช่น การเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ทุกปี เป็นการเร่งการ "เสพ" สิ่งใหม่โดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืน และไม่สนใจว่าสินค้าเหล่านั้น "ถูกสร้าง" หรือ "ผลิต" ขึ้นที่ไหน

ด้วยเทคโนโลยีอะไร และกระแส “เน้นเสพ ไม่เน้นสร้าง” นี้ยังมีผลไปถึงวัยแรงงานเพราะเยาวชนไทย 70% อยากเป็น "อินฟลูเอนเซอร์" มากกว่านักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกร

เน้นซื้อ.. ไม่คิด: นำเข้าทุกอย่าง แต่ไม่พัฒนาเทคโนโลยีเอง

ภาพจาก https://elements.envato.com

ปัญหาใหญ่อีกเรื่องที่น่ากังวลจะกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาวของไทยคือการที่เราซื้อสินค้าเทคโนโลยีสำเร็จรูป แต่ไม่คิดพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง จนกลายเป็น "โรงงานประกอบ" ไม่ใช่ "ศูนย์กลางนวัตกรรม"

โดยในปี 2567 มีการนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สูงถึง 2.1 ล้านล้านบาท แต่สิทธิบัตรที่จดโดยคนไทยมีเพียง 1,200 ฉบับต่อปี เทียบกับจีนที่มีถึง 1.5 ล้านฉบับ เด่นชัดที่สุดคือโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในไทย 99% ประกอบในไทย แต่ชิปและซอฟต์แวร์หลักมาจากต่างชาติ

แม้ว่าไทยเป็นฐานผลิต iPhone ให้ Apple แต่มูลค่าเพิ่มที่ไทยได้จริงเพียง 3-5% ของราคาขายเท่านั้น ไม่เพียงแค่นั้นบริษัทไทยกว่า 80% ยังใช้เทคโนโลยีนำเข้าทั้งหมด

เน้นขาย.. ไม่ผลิต: ขายของนำเข้า แต่ไม่สร้างมูลค่าเพิ่ม

ประเทศไทยถนัด "ขาย" สินค้านำเข้าในประเทศและส่งออกวัตถุดิบ แต่ไม่ผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่มีมูลค่าสูงตัวเลขที่เจ็บปวดคือปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป คิดเป็น 12% ของการส่งออกทั้งหมด แต่สินค้าไฮเทคกลับมีเพียง 8% ในขณะที่เวียดนามส่งออกสินค้าไฮเทค เกิน 40% ถ้ายังมองไม่เห็นภาพต้องดูที่ตัวเลขการส่งออกยางพาราโดย

ไทยส่งออก ยางพาราดิบอันดับ 1 ของโลก ประมาณ1.8 ล้านตัน/ปี แต่กลับต้องนำเข้าโฟมยางและผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำไรส่วนใหญ่ไหลไปให้นายทุนต่างชาติ ส่วนไทยได้แค่ "ค่าแรง" และ "ค่าบริการ" เท่านั้น

กับดับประเทศไทย “รับ” มากกว่า “สร้าง” ในมุมของแฟรนไชส์

เป็นตัวอย่างที่สะท้อนความเป็นกับดักประเทศไทยได้ชัดเจน โดยเฉพาะการที่ธุรกิจจากจีนทั้งที่เป็นแฟรนไชส์และไม่ใช่ แฟรนไชส์เข้ามาบุกตลาดเมืองไทยเยอะมาก สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่ชอบโมเดลธุรกิจพร้อมใช้ ลดความเสี่ยง ซึ่งมูลค่าตลาดแฟรนไชส์ไทยในปี 2024 ที่ผ่านมาประมาณ 300,000 ล้านบาทอัตราโตต่อปี 9-10% แต่ถ้ามองลึกไปพบว่าส่วนใหญ่เป็นแฟรนไชส์นำเข้า ที่ต่างชาติครองกว่า 50% ของมูลค่าตลาด

หรือการที่การลงทุนร้านอาหารจีนในเมืองไทยมีตัวเลขเพิ่มขึ้นมาก ในปี 2022 มีแค่ 0.52% แต่มาถึงในปี 2024 ที่ผ่านมามีสูงถึง 58.78% ของธุรกิจร้านอาหารใหม่ในเมืองไทย

และถ้าสำรวจตลาดแฟรนไชส์ก็อย่างที่ทราบว่ามีแบรนด์จีนเข้ามาตีตลาดเมืองไทยเยอะมากไม่ว่าจะ Mixue , Wedrink , Bing Chun , NaiXue , Haidilao เป็นต้น จึงถือเป็นเรื่องที่หลายคนอาจไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่และอาจมีมุมมองว่าเป็นโอกาสดีในการได้ทำธุรกิจกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียง แต่ในอีกมุมหนึ่งคือการลดประสิทธิภาพของธุรกิจไทยที่นับวันจะหดหายไปเรื่อยๆ

ทั้งนี้ประเทศไทยไม่ได้ขาดแคลนคนเก่ง แต่ขาด "ระบบที่ส่งเสริมให้คนเก่งสร้าง คิด ผลิต" รวมถึงการส่งเสริมให้ถูกต้องจากหน่วยงานภาครัฐ ยกตัวอย่างที่เห็นชัดคือเมื่อสินค้าหรือบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ของคนไทยออกสู่ตลาด มักถูกตั้งคำถามเรื่องราคาว่า "แพงเกินไป" เมื่อเทียบกับคู่แข่งต่างชาติที่อาจผลิตในปริมาณที่มากกว่า ทำให้ผู้ประกอบการไทยขาดทุนหมุนเวียนในการพัฒนาต่อยอด

ซึ่งการแก้ไขกับดักนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเริ่มจากการเปลี่ยน "ทัศนคติ" ของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการปฏิรูปโครงสร้างภาครัฐและเอกชนด้วย

------------------------------------------

รวมแฟรนไชส์ไทย > 660 แบรนด์ - www.ThaiFranchiseCenter.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...