ปิดคดี! ตร.ไขปริศนา “นัทปง” ดับ วงจรปิดจับภาพชัดใช้ “ไซยาไนด์” จบชีวิต
เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.เดชระพี คงดี ผบก.ภ.จว.นนทบุรี แถลงข่าวสรุปความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตปริศนาของ นายณัฐวุฒิ ปงลังกา หรือ “นัทปง” อายุ 35 ปี ผู้สื่อข่าวช่อง 8 ซึ่งเสียชีวิตภายในบ้านพักย่านบางกรวย
การแถลงข่าวครั้งนี้ มีขึ้นภายหลังจากเมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 68 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้เสียชีวิตอย่างละเอียดเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง โดยมีการเชิญพยานบุคคลสำคัญ ได้แก่ นายต้น นายกิตติ ไอซ์สารวัตร รวมถึงญาติของผู้ตาย เข้าร่วมตรวจสอบในที่เกิดเหตุ ซึ่งจากการตรวจพิสูจน์ทางเคมีโดยกองพิสูจน์หลักฐาน ยืนยันชัดเจนว่า สารที่ตรวจพบคือ “โพแทสเซียมไซยาไนด์” ซึ่งเป็นสารพิษชนิดเดียวกับที่พยานซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิดผู้ตายเคยให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวนไว้ก่อนหน้านี้
พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 พ.ย. 68 พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุมีผู้เสียชีวิตภายในบ้านพัก เมื่อเดินทางไปตรวจสอบพร้อมแพทย์และบันทึกสถานที่เกิดเหตุ พบว่าญาติแจ้งว่าเป็นลักษณะนอนหลับเสียชีวิต จึงส่งศพไปตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ต่อมาหลังจากนำศพออกจากบ้าน ญาติและบุคคลใกล้ชิดได้เข้าไปพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว และมีการนำสิ่งของบางอย่าง รวมถึงโทรศัพท์มือถือของผู้ตาย ออกไปตรวจสอบ
จนกระทั่งวันที่ 3 ธ.ค. 68 เริ่มมีสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัวจากโทรศัพท์ของผู้ตาย พร้อมระบุว่ามีสารไซยาไนด์เกี่ยวข้อง ทำให้ตำรวจเริ่มดำเนินการสืบสวนอย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 6 ธ.ค. 68 โดยสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ 4 ปาก และพยานที่เกี่ยวข้องกับสารไซยาไนด์อีก 1 ปาก รวมเป็น 5 ปาก ซึ่งจากคำให้การพบว่า นายกิตติ เป็นผู้นำสารไซยาไนด์มาให้ผู้ตาย ต่อมามีการสอบสวนเพิ่มเติมจนทราบว่าสารดังกล่าว ถูกนำมาให้ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2568
ต่อมาในวันที่ 9 ธ.ค. 68 ไอซ์ สารวัตร ได้นำสารไซยาไนด์มามอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และให้ปากคำเพิ่มเติม ก่อนที่วันที่ 11 ธ.ค. 68 เจ้าหน้าที่จะเข้าตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุอีกครั้ง ตรวจสอบกล้องวงจรปิด ลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอ พบกล้องวงจรปิดหลายตัว และพบซองบรรจุสารไซยาไนด์อยู่ในตำแหน่งเดิมตามที่พนักงานสอบสวนเคยบันทึกไว้ โดยการตรวจครั้งนั้น มีพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน และญาติผู้ตายเข้าร่วมตรวจสอบพร้อมกัน ซึ่งญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต
ด้าน พล.ต.ต.หญิง สุเจตนา โสตถิพันธุ์ ผู้บังคับการพิสูจน์หลักฐาน 1 เปิดเผยว่า คดีนี้ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก หลังพบว่าผู้เสียชีวิตมีสารไซยาไนด์ในร่างกาย จึงมีการประชุมร่วมกับผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 68 โดยนายกิตติ ให้การรับสารภาพว่า ได้นำสารไซยาไนด์มาจากร้านทอง และแบ่งใส่ถุงลักษณะเป็นถุงกาแฟ ซึ่งเมื่อตรวจสอบบ้านก็พบถุงดังกล่าวจริง และจากการตรวจกล้องวงจรปิด พบว่าเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 68 นายบิ๊กเป็นผู้นำถุงดังกล่าวไปวางไว้ในห้องคาราโอเกะ ใช้เวลาเพียง 9 วินาที ก่อนออกมา
จากการตรวจพิสูจน์ พบว่าสารไซยาไนด์ที่เก็บได้จากร้านทอง สารที่ไอซ์สารวัตรนำไปตรวจ และสารที่พบในบ้าน เป็นสารชนิดเดียวกันทั้งหมด นอกจากนี้ยังตรวจพบสารไซยาไนด์ในคราบอาเจียนบนพรม และผลการชันสูตรศพระบุว่า ลิ้น โคนลิ้น หลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร มีลักษณะไหม้อย่างรุนแรง สอดคล้องกับการได้รับสารไซยาไนด์ผ่านทางปากโดยตรงในความเข้มข้นสูง
ขณะที่ พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดกว่า 10 ตัว ตั้งแต่บริเวณหน้าบ้าน ทางขึ้นบันไดชั้น 2 และห้องคาราโอเกะ พบว่าภาพจากกล้องสอดคล้องกับคำให้การของพยานทั้ง 5 ปาก โดยพบว่ากิตตินำสารมาให้จริง และบิ๊กเป็นผู้นำสารไปเก็บไว้ในห้องคาราโอเกะ ส่วนในวันเกิดเหตุ กล้องจับภาพผู้เสียชีวิตหยิบซองไซยาไนด์จากโต๊ะคอมพิวเตอร์บริเวณบนศีรษะ วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 06.19 น. ผ่านไปประมาณ 40 วินาที นัทได้นำไปเก็บไว้ที่เดิม และไม่มีบุคคลอื่นเข้าไปในห้องช่วงเวลาดังกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้ตรวจสอบหลักฐานตั้งแต่วันแรก แต่ยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตในขณะนั้น กระทั่งผลตรวจภายหลังพบว่าเกิดจากสารไซยาไนด์ จึงเรียกพยานทั้งหมดมาสอบปากคำ และเข้าตรวจบ้านอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค. 68 ซึ่งพบว่าหลักฐานทั้งหมดสอดคล้องกัน ทั้งตำแหน่งซองสาร กล้องวงจรปิด และคำให้การพยาน จึงสรุปได้ว่าผู้เสียชีวิตเป็นผู้ดื่มสารไซยาไนด์เพื่อยุติชีวิตตนเอง
เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายกิตติเพียงรายเดียว ในความผิดฐานมีวัตถุอันตรายประเภทที่ 3 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนกรณีของ ไอซ์สารวัตร ที่มีการนำสารไซยาไนด์ออกจากที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างพิจารณาเจตนาและพฤติการณ์เป็นรายกรณี ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับพยานหรือบุคคลอื่นเพิ่มเติม ทั้งนี้ตำรวจระบุว่าคดีดังกล่าวจะถูกนำไปใช้เป็นกรณีตัวอย่างในการปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน เพื่อให้การตรวจสถานที่เกิดเหตุในอนาคตมีความรัดกุม รอบคอบ และเป็นไปตามขั้นตอนมากยิ่งขึ้น