เทศกาลโคมลอย: แสงแห่งศรัทธาในสมดุลของเมืองและสิ่งแวดล้อม
ทุกปีในคืนเพ็ญช่วงเทศกาลยี่เป็ง ท้องฟ้าเชียงใหม่สว่างด้วยโคมลอยนับพันดวง ในขณะเดียวกัน ภายใต้ช่วงเวลาแห่งความรื่นเริงและสวยงาน เมืองก็ต้องรับมือกับซากวัสดุและคุณภาพอากาศที่เกิดขึ้นจากโคมลอย รวมถึงความปลอดภัยทางด้านการบิน บทความนี้ ได้รวบรวมข้อมูลและชวนตั้งคำถามว่า พิธีกรรมดั้งเดิมจะสามารถเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวสมัยใหม่อย่างไร เพื่อชวนคิดร่วมกันว่า เราจะรักษาความหมายทางศรัทธาไว้ควบคู่กับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรในคืนเพ็ญครั้งต่อไป
(Wikimedia Commons)
รากแห่งเทศกาลยี่เป็ง
เทศกาลยี่เป็ง (Yi Peng) มีรากมาจากความเชื่อของชาวล้านนา จัดขึ้นกำหนดตามปฏิทินเหนือ (เดือน 2) ซึ่งมักตรงกับเพ็ญเดือน 12 ของจันทรคติกลาง โดยใช้โคมเป็นสัญลักษณ์ของการอธิษฐานและการปล่อยเคราะห์ เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานพระเกศาของพระพุทธเจ้า การจุดและปล่อยโคมลอยจึงเป็นการถวายแสงสว่างแด่พระพุทธองค์ และสื่อถึงการปล่อยเคราะห์ ปล่อยทุกข์ ให้ลอยหายไปกับแสงไฟบนท้องฟ้า เดิมทีพิธียี่เป็งเป็นเพียงการจุด “โคมแขวน” รอบวัด เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ก่อนจะพัฒนาเป็น “โคมลอย” ที่ปล่อยขึ้นฟ้าอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนทั้งศรัทธาทางศาสนาและความงดงามทางศิลปวัฒนธรรมของล้านนา นอกเหนือไปจาก การทำหน้าที่เป็นพิธีกรรมแห่งความศรัทธาแล้ว ปัจจุบัน เทศกาลยี่เป็งยังกลายเป็นเทศกาลท่องเที่ยวสำคัญของหลายเมืองในภาคเนือด้วย คำถามที่น่าสนใจ คือ เมื่อบทบาทของพิธีกรรมถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นกิจกรรมท่องเที่ยว เครื่องถวายแห่งความศรัทธา (โคมลอย) และวิธีปฏิบัติจะแปรเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เพื่อให้ผู้ศรัทธาสามารถแสดงออกถึงความเชื่อ ในขณะที่นักท่องเที่ยวก็ดื่มดำกับความงามของแสงไฟบนฟ้าในช่วงเวลาดังกล่าวได้
(Leon Contreras/Unsplash)
เส้นทางของโคมและสิ่งที่เมืองต้องรับมือ
หากติดตามเส้นของโคมลอยหนึ่งใบ ตั้งแต่ร้านค้า-ลอยขึ้นฟ้า-ตกลงสู่พื้น เราจะเห็นลำดับการเดินทาง คือ “ผลิต-ซื้อ–ประกอบ–ปล่อย–ตก–เก็บกู้” ภายใต้เส้นทางดังกล่าวเกี่ยวข้องทั้งผู้ผลิตโคม ผู้จำหน่ายโคม ผู้ร่วมงานเทศกาล (ที่ซื้อโคม) อาสาสมัครและหน่วยงานท้องถิ่น (ที่ต้องคอยเก็บซากโคม) ทั้งนี้ ประเด็นที่มีการพูดถึงบ่อยครั้งเกี่ยวกับปัญหา และผลกระทบจากเทศกาลยี่เป็ง คือ ชิ้นส่วนโคมลอยที่ย่อยสลายยาก (โครงโลหะหรือเทปกาว) ซากโคมลอยที่ตกในพื้นที่เกษตรหรือแหล่งน้ำ คุณภาพอากาศที่แย่ลงในช่วงช่วงเวลาที่มีการปล่อยโคม หรือแม้แต่การไม่มีมาตรการกำหนดช่วงเวลาและพื้นที่ในการปล่อยโคม ส่งผลให้เกิดผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่เมืองต่าง ๆ ในภาคเหนือต้องเผชิญในช่วงเทศกาลยี่เป็ง
จากประเด็นที่กล่าวมา ดูเหมือนโคมลอยจะได้รับบทบาทเป็น “ต้นตอ” ของปัญหาทั้งหมดในช่วงเทศกาลยี่เป็ง อย่างไรก็ดี โคมที่ผลิตจากภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวล้านนา อาจไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหาเสียทีเดียว ทั้งนี้ โคมดั้งเดิมแบบล้านนามักใช้กระดาษสาเป็นผิวโคม โครงทำจากไม้ไผ่ เชื้อเพลิงที่ใช้ลอยขึ้นฟ้าจากขี้ผึ้ง/ไขพืช และเชือกป่าน จุดเด่นของโคมแบบดั้งเดิม คือ ย่อยสลายได้และเผาไหม้ค่อนข้างสะอาด อีกทั้งจากหลักฐานคำบอกเล่าสมัยก่อนโคมลอยมักใช้ควันจากตัวเชื้อเพลิงช่วยให้ตัวโคมลอยขึ้น ทำให้เมื่อหมดเชื้อเพลิงจึงไม่มีเพลิงไหม้เกิดขึ้น ส่วนโคมที่ผลิตเชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน มักมีการเปลี่ยนแปลงวัสดุบางส่วน เพื่อความแข็งแรงและผลิตจำนวนมาก เช่น ใช้กระดาษทิชชูชุบขี้ผึ้ง ใช้โครงลวดหรือแผ่นโลหะ ใช้เชื้อเพลิงก้อนเคมี/พาราฟิน ใช้กาวหรือเทปพลาสติก วัสดุสังเคราะห์สมัยใหม่เหล่านี้ช่วยให้โคมปล่อยได้ง่ายขึ้น แต่กลับทิ้งชิ้นส่วนที่ไม่ย่อยสลายเอาไว้เป็นจำนวนมาก ภายหลังเทศกาลแห่งศรัทธาและความสวยงามสิ้นสุดลง โดยเฉพาะส่วนที่เป็นโลหะและพลาสติก
(Getty Images)
เราสามารถแยกองค์ประกอบของปัญหาที่เกิดจากโคมลอยในเชิงพาณิชย์ได้เป็นประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
- ซากชิ้นส่วน: โครงลวดและเทปจากโคมลอยทำการเก็บกู้ได้ยาก เมื่อตกลงในพื้นที่ทางการเกษตรหรือแหล่งน้ำ อาจกลายเป็นสารพิษปนเปื้อน ส่งกระทบต่อสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง (ได้รับบาดเจ็บจากการตกใส่ หรือเผลอกินเข้าไป)
- คุณภาพอากาศในช่วงเทศกาล: การปล่อยโคมลอยพร้อมกันจำนวนมาก อาจเกิดควันและเขม่าชั่วคราว ส่งผลต่อคุณภาพอากาศในพื้นที่ เพิ่มความเสี่ยงต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ รวมถึงส่งผลส่งผลต่อดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น
- ความปลอดภัยและการจัดระเบียบ: ยังไม่มีการกำหนดพื้นที่และช่วงเวลาในการปล่อยโคมลอยที่เป็นระบบ ส่งผลให้มีการปล่อยโคมลอยกระจัดกระจายไม่เป็นช่วงเวลา อาจส่งผลกระทบต่อเส้นทางการบิน อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังต้องเสียงบประมาณเพื่อจัดทีมดูแล และจัดเก็บซากโคมลอยหลังเทศกาลสิ้นสุดลง
(Wikimedia Commons)
(Udayaditya Barua / Unsplash)
วิเคราะห์เชิงลึก ศรัทธา วัสดุ และการตีความใหม่
เทศกาลดิวาลี (Diwali Festival) - เทศกาลแห่งแสงของอินเดียที่เผชิญโจทย์คล้ายเทศกาลยี่เป็งของไทย ไม่ว่าจะเป็นควันจากพลุและขยะเทียนพลาสติก เพื่อแก้ไขปัญหา รัฐบาลอินเดียจึงมีมาตรการและทางเลือก เช่น รณรงค์ให้ใช้ตะเกียงดินเผา ควบคุมการใช้พลุพลาสติก ทดลอง “biodegradable fireworks” ที่ลดการปล่อย PM2.5 และบางชุมชนหันใช้ LED light shows กับพลังงานแสงอาทิตย์แทนพลังงานฟอสซิล
หากโคมลอยเป็นต้นตอของปัญหาในช่วงเทศกาลยี่เป็ง ทางออกของเมืองจึงเป็น “การลดชิ้นส่วนคงค้าง–ใช้พลังงานเผาไหม้สะอาด–พึ่งพาท้องถิ่นให้มากขึ้น” การเลือกวัสดุโคมลอยควรเลือกวัสดุที่ย่อยสลายได้เพื่อความปลอดภัย ตัวอย่าง เช่น การเลือกใช้โครงที่ทำจากไม่ไผ่ การเลือกใช้เทปสังเคราะห์ที่ทำจากกาวชีวภาพ (กาวแป้งจากมันสำปะหลัง/ข้าว) การเลือกใช้กระดาษทำมือ หรือหรือกระดาษใยพืช (ใบตอง กล้วย สับปะรด) ในการทำผิวโคมลอย การเลือกใช้เชื้อเพลิงเพื่อลอยขึ้นฟ้าจากแผ่นไขพืชอัด (ถั่วเหลือง มะพร้าว ปาล์ม) การใข้เชือก/สายรัดจากเชือกป่านหรือด้ายฝ้าย
นอกเหนือไปจากวัสดุที่หาได้จากธรมชาติแล้ว ช่างฝีมือ นักสร้างสรรค์ หรือผู้ที่ทำงานขับเคลื่อนเมือง ซึ่งสนใจแก้ไขปัญหาเรื่องวัสดุที่ใช้ในการผลิตโคมลอย สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุทางเลือก เพื่อนำไปประยกต์ใช้ในการผลิตโคมลอยได้จาก ฐานข้อมูลวัสดุไทย (TCDC Material Database) ซึ่งได้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุ และข้อมูลการติดต่อผู้ประกอบการเอาไว้เป็นจำนวนมาก โดยมีวัสดุต่าง ๆ ที่น่าสนใจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบโคมลอยได้ ตัวอย่างเช่น
(TCDC Material Database)
- แผ่นสานจากก้านบัวหลวง: วัสดุท้องถิ่นที่ใช้ก้านบัวหลวงมาแปรรูปเป็นแผ่นสาน มีศักยภาพต่อยอดเป็นโครงโคมหรือฐานโคมได้
(TCDC Material Database)
- แผ่นฟิล์ม LeafTastic: วัสดุนี้ทำมาจากผักและผลไม้ สามารถนำไปต่อยอดเป็นโคมลอยแทนกระดาษสาได้ อีกทั้งยังย่อยสลายได้เร็วด้วย
(TCDC Material Database)
- วัสดุไบโอพลาสติกจากสารสกัดสาหร่ายทะเล: วัสดุชีวภาพสารสกัดจากสาหร่ายทะเล สามารถต่อยอดเป็นโคมลอยได้ ซึ่งมีน้ำหนักที่ค่อนข้างเบา
(Leon Contreras / Unsplash)
คุณอยากให้โคมลอยในปีหน้าทำมาจากอะไร…
แม้ในปีนี้ อาจจะยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงของวัสดุที่ใช้ในการผลิตโคมลอย และเราอาจจะต้องเห็นข่าวพาดหัวปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากโคมลอยอีกครั้ง ภายหลังงานเทศกาลยี่เป็งปีนี้สิ้นสุดลง แต่สำหรับในปี 2569 จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะมี “โคมลอยที่เผาไหม้และดับตัวเองได้กลางอากาศ” เพื่อลดชิ้นส่วนคงค้างบนพื้น เมื่อพิจารณาจากมุมมองการออกแบบเพื่อแก้ไขปัญหา และการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้ที่จะผลิตโคมลอยที่มีคุณสมบัติคุณดังกล่าว แต่ปัญหาสำคัญ คือ แนวคิดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากช่างท้องถิ่น นักวัสดุ นักสิ่งแวดล้อม ผู้จัดงาน และหน่วยงานเมือง ซึ่งต้องเริ่ิมถอดบทเรียนจากปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้ เพื่อนำไปสู่การออกแบบ “โคมลอยต้นแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ที่สามารถผลิตและใช้งานได้จริงได้ในอนาคต
“โคมลอย” ในเทศกาลยี่เป็งไม่จำเป็นต้องรับบทต้นตอของปัญหาอีกต่อไป แต่ผลิตภัณฑ์นี้ควรได้รับการ “ตีความใหม่” ให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ที่ต้องการความรับผิดชอบร่วมกัน โดยยังคงคุณค่าทางจิตวิญญาไว้ ภายใต้แสงแห่งศรัทธาที่ลอยอยู่บนฟ้า จะไม่เพียงงดงาม แต่ยังสะท้อนความรับผิดชอบที่เรามีต่อโลกใบนี้อย่างแท้จริง