ศตวรรษของการงดเสแสร้งเป็นคนดี บทเรียนปรมาจารย์ปากจัดลัทธิอิสระ ‘ไดโอจีเนส’
คำเตือน
นี่เป็นบทความเสรีขั้นสุดที่จะปลดปล่อยความจงชัง
ใจไม่ถึงไม่ต้องอ่าน
It is not that I am mad,
it is only that my head is different from yours.
ผมไม่ได้บ้า
ผมแค่มีหัวคิดต่างจากคุณ
ปลายปีคือฤดูที่คนทั้งโลกชอบนั่งนับศีลธรรมตัวเอง ดีพอหรือยังนะ ชั่วไปไหมนะ เหมือนกับเป็นเทศกาลเก็บคะแนนคนดีประจำปีอย่างนั้น ใครได้คะแนนน้อยหน่อยก็จะกุมมือแถใส่พระเจ้าว่าเดี๋ยวปีหน้าจะเป็นคนที่ดีขึ้น
คนดีเหรอ คุณแน่ใจจริงไหมว่ามาตราที่ใช้วัดมันถูกต้อง
คนดีเหรอ คุณจะรู้ได้จริงเหรอว่าที่เป็นอยู่เรียกว่าคนดี
คุณจะยอมฟังเสียงคนทั้งโลกที่เล็งจะครหาและตัดสินคุณง่ายดายจากปลายนิ้วมือไหม
คุณจะโค้งตัวลงขอโทษขอโพยเพื่อปรับปรุงตัวหรือเปล่า
หากสองบรรทัดล่าสุดคือนิยามของคนดี ผมไม่ใช่หนึ่งในนั้น ผมใช้ชีวิตตามที่ผมอยากจะใช้ ผมใช้ชีวิตตามใจตัวเอง หากยังอยากรู้จักกัน ผม ‘ไดโอจีเนสแห่งซิโนเป’ (Diogenes of Sinope) ปกติก็ต้องคุยโวถึงคติประจำตัวสักนิดใช่ไหม สำหรับผมแล้ว
“ในเมื่อโลก เมื่อผู้คนนั้นร้ายกาจ และการกระทำเล็กน้อยไม่อาจเปลี่ยนอะไรได้ ก็จงฝึกฝีปากให้ร้ายยิ่งกว่า แล้วใช้จิกกัดมัน”
ค้นหากันตามอินเทอร์เน็ตดูได้นะว่าผมเด่นดังอยู่ไม่น้อย เพราะผมถูกนับเป็นคนที่ใครก็ยกย่องในหมู่นักปรัชญาจากการสร้าง ‘ลัทธิซินิก’ (Cynicism) เรียกว่าแทบจะเป็นต้นแบบของนักปราชญ์หลายคนในสมัยโบราณเลยก็ว่าได้ แต่ศิษย์จะลืมครูได้อย่างไรจริงไหม ผมเป็นลูกศิษย์ของ ‘แอนติสเธเนส’ (Antisthenes) ที่สืบทอดชีวิตเรียบง่ายแบบอดกลั้น! เรื่องที่ว่าศีลธรรมคือหัวใจของชีวิตเป็นอะไรที่อาจารย์ผมยึดถือเหนือสิ่งอื่นใด
ฟังดูแสนดีเหลือเกิน ผมก็ดูแสนดีแบบนั้น แต่คนอื่นมักบอกว่าผมมีใจคอต่างจากอาจารย์นิดหน่อย ผมไม่ค่อยแคร์ใครและเป็นคนมีอารมณ์ขันด้วยนะ อารมณ์ขันประเภทที่รักในการตบสำนวนเพื่อเสียดสีคนอื่นน่ะ ผมไม่ค่อยชอบเห็นคนหมกมุ่นกับหนังสือ กล่าวคือผมไม่ชอบหนอนหนังสือที่อยู่กับหนังสือตลอดเวลามากกว่าจะลงมือใช้ชีวิตจริง
นี่! คุณรู้จักเพลโตแห่งปรัชญารักโรแมนติกไหม มีคนกระซิบให้ผมฟังว่าเขาได้สนทนากับเพลโตอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถามเพลโตว่าไดโอจีเนสเป็นคนอย่างไร
“ไดโอจีเนสคือโสเกรตีสที่บ้าไปแล้ว!”
อืม เพลโตสรุปความเป็นผมในหนึ่งประโยคได้ยอดมาก เพราะผมก็คล้ายโสเกรตีสอยู่ไม่น้อย ผมรักในการวิเคราะห์ความเชื่อของตัวเอง ต่อสู้เพื่อมัน ยืนหยัดเพื่อมัน แต่คงเพราะผมดูสุดโต่งจนคนมองว่าเพี้ยนกระมัง เขาก็เลยว่ากันว่าผมเป็นผู้มีปัญญาเยี่ยงโสเกรตีส แต่เป็นภาคดิบเถื่อน ดาร์ก และไร้มารยาท เปล่าเสียหน่อย ใจกลางการกระทำทั้งปวงของผมก็ยังอยู่บนเหตุผล แค่ว่าผมใช้เหตุผลชนิดไม่สนโลก ไม่สนกาลเทศะ หรือพิธีรีตองอะไร
“ไดโอจีเนสคือโสเกรตีสที่บ้าไปแล้ว!”
คุณกำลังโต้ความคิดของผมอยู่ในใจด้วยถ้อยความนี้ใช่ไหม
อย่างนั้นตาผมตอบกลับนะ
“Of what use is a philosopher who doesn't hurt anybody's feelings”
นักปรัชญาที่ไม่ทำให้ใครเจ็บใจมันจะไปมีประโยชน์อะไร
Dogs and philosophers do the greatest good
and get the fewest rewards.
สุนัขกับนักปรัชญาทำคุณกับคนมากที่สุด
และได้รับรางวัลกลับคืนน้อยที่สุด
อาวุธของไดโอจีเนสนั้นไม่ใช่ความบ้าหรอก แต่เป็นความไร้ยางอาย ไดโอจีเนสมักทำสิ่งที่สังคมกรีกมองว่าน่าเกลียด อย่างการนั่งทานข้าวกลางตลาด ชาวกรีกถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบคายมากทำให้มีคนก่นด่าเขา
“ผมหิวในตลาดก็เลยทานข้าวในตลาด จะให้แกล้งบอกว่าไม่ได้หิว แล้วอดทนท้องร้องจนกว่าจะได้กลับบ้านเหรอ” ไดโอจีเนสตอบ
แม้คนอื่นจะว่าเขาบ้า แต่เขาก็ว่าคนอื่นบ้ากว่า ไร้เหตุผลยิ่งกว่า หลายครั้งไดโอจีเนสตั้งคำถามกับกฎเกณฑ์ของสังคม
“When someone had sentenced me to exile, and I sentenced them to stay at home.”
เมื่อมีคนไล่ผมออกนอกเมือง ผมจึงไล่พวกเขาให้กลับไปอยู่บ้านตัวเอง
ชีวิตของไดโอจีเนสถูกเล่าขานต่อกันมาจนยากจะระบุเหตุการณ์ที่แท้จริงไว้ได้ แต่ที่แน่ๆ คือเขาเป็นชาวเมืองซิโนเปที่ถูกเนรเทศออกนอกเมือง เพราะพ่อของเขาที่ทำอาชีพดูแลเงินของรัฐทำการปลอมแปลงเหรียญ เขาจึงต้องย้ายออกไปอยู่ที่กรุงเอเธนส์
เมื่อย้ายถิ่นฐาน ไดโอจีเนสกลายเป็นคนไร้บ้าน เขาเลือกที่จะเข้าไปอยู่อาศัยในถังไม้ หลังจากเห็นหนูตัวหนึ่งวิ่งผ่าน เขาตระหนักว่าสัตว์เยี่ยงหนูก็ปรับตัวได้ในทุกที่ที่อยู่ แม้ว่ามันจะอยู่ในกองขยะ ท่อน้ำ เพดานบ้าน แต่มันก็อยู่ได้ ไดโอจีเนสจึงไม่คิดจะมีบ้านหรือใช้ของฟุ่มเฟือยอะไรอีกเปรียบเป็นที่มาการฝึกจิตของเขา
ทั้งการเข้าไปเป็นศิษย์ของ ‘แอนติสเธเนส’ ก็เป็นเพราะเขาไปตื๊อและคลุกคลีไม่ยอมไปไหนทำให้แอนติสเธเนสรับเขาไว้เป็นลูกศิษย์อย่างห้ามเสียไม่ได้
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สันนิษฐานว่าอาจถูกแต่งเติมขึ้น คนว่ากันว่าไดโอจีเนสถูกโจรสลัดจับตัวไป ก่อนจะนำไปขายเป็นทาสที่เมืองอื่น เมื่อถูกถามว่าคนประเภทเขาจะทำอะไรได้ เขาก็ตอบอย่างห้ำหั่นว่าปกครองคน ท้ายที่สุดเขาก็ถูกซื้อตัวไปเพื่อปกครองคนจริงๆ โดยชายนาม ‘เซเนียดิส’ ที่อยากให้ไดโอจีเนสช่วยสอนลูกๆ ของเขา ทำตามวิถีอันเรียบง่ายเช่นเขา แม้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ไหนจริงหรือเท็จ แต่สิ่งสำคัญที่เหมือนกันจากเรื่องเล่าขานถึงไดโอจีเนส แม้เขาจะเป็นทาส แต่กลับอิสระยิ่งกว่านายตัวเอง และเขาทำให้นายยอมฟังเขา
“I am Diogenes the Dog. I nuzzle the kind, bark at the greedy and bite scoundrels.”
ข้าคือไดโอจีเนส หมาของพวกเจ้าที่เอาจมูกชนคนใจดี เห่าใส่คนโลภ และกัดพวกเลวทราม
การหมดลมหายใจของไดโอจีเนสก็ไม่แน่ชัดนัก บ้างว่าเขากลั้นหายใจเพื่อปิดบัญชีชีวิตตัวเอง บ้างว่าเขาป่วยตายจากการทานปลาหมึกดิบ บ้างว่าถูกสุนัขกัดตาย หรือไม่ก็แก่ลงตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไดโอจีเนสมอบไว้เป็นมรดกประวัติศาสตร์คือการร่วมให้กำเนิด ‘ลัทธิซินิก’ (Cynicism) และการใช้ชีวิตเยี่ยงไดโอจีเนส ผู้ที่ยืนหยัดในความเชื่อของตน รักในวิถีของตน
ร่องรอยปรัชญาของไดโอจีเนสไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา ทั้งยังสร้างศรัทธาทางเดินใหม่แห่งชีวิตให้แก่ผู้คน
The art of being a slave is to rule one's master.
ศิลปะการเป็นทาสคือการปกครองนายของตนเอง
หัวใจของจริยศาสตร์ตามแนวคิดซินิกคือการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพราะพวกเขาเชื่อว่าธรรมชาติเป็นผู้มอบสัญญาณแจ่มแจ้งที่สุดว่าเราจะใช้ชีวิตที่ดีได้อย่างไร ชีวิตอันมีเหตุผล อยู่อย่างพอเพียง และเป็นอิสระจากทุกสิ่ง
แต่ขนบธรรมเนียมของสังคมกลับชอบขัดขวางการมีชีวิตดีงาม บ่อยครั้งเราสูญเสียอิสรภาพ เพราะกฎเกณฑ์ที่ขัดกับธรรมชาติและหลักเหตุผล แม้ขนบธรรมเนียมจะไม่ได้เลวร้ายไปเสียทุกอย่าง แต่สำหรับลัทธิซินิกแล้ว หลายอย่างในสังคมช่างไร้สาระ ทั้งสมควรถูกเยาะเย้ย
พวกเขามักถากถางทุกสิ่ง ตั้งแต่การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก หัวขโมยตัวใหญ่ที่ดันฟลุกได้บริหารสถานศักดิ์สิทธิ์ เหล่านักการเมืองที่ลากหัวขโมยตัวเล็กไปลงโทษทั้งที่ตัวเองเป็นหัวโจก นักปรัชญาที่เดินเข้าออกสถานปกครองใหญ่โต กระทั่งคำอธิษฐานที่ขอชื่อเสียงและความมั่งคั่งมาสู่ตน
ลัทธิซินิกเชื่อในการปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่ทำลายชีวิต พวกเขารักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ทั้งยกย่องการฝึกฝนตัวเองที่ปราศจากทฤษฎี ไม่ว่าจะเป็นการโอบรับความลำบาก ความยากจน การพูดความจริงต่อหน้าสังคมที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจ พวกเขาก็ทำโดยสมัครใจ แถมยังชอบท้าทายหลักวัฒนธรรมกรุงเอเธนส์ด้วย แต่ไม่ใช่เพื่อทำลายหรอก หากเพื่อแทนที่วิถีชีวิตใหม่ที่สอดคล้องกับหลักเหตุผลมากกว่า
ไดโอจีเนสเป็นผู้ปฏิเสธธรรมเนียมที่คนตั้งขึ้นอย่างแรงกล้า เขาแสดงให้ผู้คนได้เห็นว่ากฎสังคมแห่งกรุงเอเธนส์มันถูกสร้างอย่างมั่วซั่ว และเขาเหยียบหัวผู้มีอำนาจอย่างไม่หันหลังกลับมาแคร์เสียด้วยซ้ำ สิ่งสำคัญของลัทธิซินิกคือการนิยามความน่าอายขึ้นมาใหม่ อย่างไดโอจีเนสจะเลือกใช้รูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองในการล้มล้างความเชื่อที่ว่ารูปลักษณ์อันงดงาม ดูสุภาพเรียบร้อย เป็นตัวแทนของคนดี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหน้าทนจนอะไรๆ ก็ไม่ต้องอายนะ
นิยามความน่าอายสำหรับลัทธิซินิกคือการแหวกกฎที่ตั้งมาตรฐานประหลาดและไม่สมควร ทำให้ผู้คนตระหนักว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีธรรมชาตินั้นดีกว่าฝืนเป็นไหนๆ
ไดโอจีเนสมักจะบ่นคนทั้งหลายว่าเมื่อต้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จงขอแต่สิ่งที่คิดว่าดีต่อตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนว่ากันว่าดี การขอพรถึงชื่อเสียง ความร่ำรวย หรือความสำเร็จตามค่านิยมของสังคมสำหรับเขาถึงได้ถือว่าเป็นการขออย่างผิดจุดทั้งนั้น ธรรมชาติบอกใบ้มนุษย์อยู่เสมอว่าควรจะอยู่อย่างไร แต่ผู้คนกลับเอาแต่ไล่ล่าของไม่จำเป็นจนทำให้ตัวเองหมดอิสระ
The only way to gall and fret effectively
is for yourself to be a good and honest man.
วิธีจะกัดใครให้ได้ผล
คือคุณต้องเป็นคนที่ดีและซื่อสัตย์เสียก่อน
หลักสามประการที่พวกนับถือลัทธิซินิกนั้นต้องยึดได้แก่
Eleutheria - เสรีภาพ
Autarkeia - ความพอเพียง อยู่อย่างไม่ต้องพึ่งใคร
Parrhēsia - การพูดตรงแบบไม่กลัวคนด่าและการถูกลงโทษ
เหตุการณ์เด่นดังที่สุดที่ไดโอจีเนสทำให้เห็นคือครั้งที่เขายืนอยู่กับ ‘อเล็กซานเดอร์มหาราช’
อเล็กกล่าวว่าเขาจะขออะไรก็ได้ ไดโอจีเนสจึงตอบว่าช่วยขยับไปอีกฝั่งหนึ่งหน่อย เพื่อที่อเล็กจะไม่บังแสงอาทิตย์ของเขา มันเป็นสิ่งที่เขาให้ไดโอจีเนสไม่ได้
หรือครั้งที่อเล็กผู้มีศักดิ์เป็นกษัตริย์แนะนำตัวกับไดโอจีเนส
“ฉันคืออเล็กซานเดอร์, มหาราช”
“ฉันคือไดโอจีเนส, หมา”
นี่คือความกวนกล้าอย่างบ้าบิ่นและล้อผู้มีอำนาจฉบับลัทธิซินิกอย่างแท้จริง ไดโอจีเนสแตกต่างจากนักปรัชญาหลายคนที่อยู่ในยุคเดียวกับเขา คนอื่นนั้นชอบคุยกับเจ้าบ้านเจ้าเมือง แต่พวกลัทธิซินิกจะไม่เฉียดเข้าไปใกล้ผู้มีอำนาจเลย เพราะการเข้าไปวุ่นกับอำนาจนั้นทำให้พวกเขาสูญเสียตัวเองไป แต่หากต้องใกล้ขึ้นมาจริงก็จะเป็นดังเหตุการณ์ที่ยกให้เห็น
ทั้งไดโอจีเนสยังขัดแย้งกับเพลโตอย่างเห็นได้ชัด ครั้งที่เขานั่งล้างผักอยู่งกๆ เพลโตเดินเข้ามาด้านหลังและกล่าวว่าหากเขารู้ที่จะเข้าใจเจ้าเมืองเสียหน่อย เขาก็คงไม่ต้องมานั่งล้างผัก
ลองทายดูไหมว่าไดโอจีเนสจะตอบว่าอะไร
“ถ้าแกหัดล้างผักบ้าง ก็คงไม่ต้องไปนั่งเอาใจเจ้าเมืองเหมือนกัน”
เพลโตคิดว่าการรับใช้เจ้าเมืองจะทำให้พ้นความอับจน ส่วนไดโอจีเนสคิดว่าความอับจนจะทำให้ไม่ต้องไปคลานเข่าต่อหน้าเจ้าเมืองหรือผู้สูงส่ง
ความคิดของนักปรัชญาทั้งสองแตกต่างกัน อันฐานันดรก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากจะเป็นลูกศิษย์ของใคร
แต่ลัทธิซินิกมักจะไม่ได้รับเครดิตแนวคิดเรื่องพลเมืองของโลก เพราะคนคิดว่าต้นตำรับแนวคิดมาจากลัทธิสโตอิก ทั้งที่จริงมันเริ่มมาจากพวกเขาเอง พวกเขาปฏิเสธพันธะต่อเมืองเกิดของตัวเอง รวมถึงสิทธิที่จะได้รับ พวกเขาเลือกจะบอกว่าตัวเองเป็นพลเมืองของโลก มากกว่าจะบอกว่าเป็นพลเมืองจากถิ่นไหน เพราะเชื่อว่ามนุษย์นั้นขึ้นตรงต่อจักรวาล
ในยุคกรีกโบราณ ความเป็นพลเมืองคือสิ่งมีค่าในการจำกัดคนเข้าออกเมือง แต่ลัทธิซินิกมองว่ามันไร้สาระ พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ควรอยู่อย่างมีเหตุผลและอยู่ตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีรัฐเข้ามาควบคุม เพราะรัฐมักบังคับให้เราทำสิ่งเลวร้ายด้วยสถานะและหน้าที่พลเมือง
ไดโอจีเนสไม่ได้เกลียดความรู้ แต่เขาเกลียดความรู้ปลอมๆ ที่ไร้ประโยชน์กับชีวิต หมุดหมายของเขาคือการสร้างความกล้าหาญและคุณธรรมผ่านวิธีสุดโต่งต่างขั้ว
บันทึกหนึ่งจาก ‘Diogenes Laertius’ เขียนไว้ว่าไดโอจีเนสแห่งซิโนเปเดินถือโคมไฟส่องไปมา ท่ามกลางแสงแดดยามกลางวัน เมื่อคนพบเห็นเขาทำอย่างนั้นก็ถามไถ่ว่าทำอะไรอยู่ ทำไมต้องถือโคมไฟ
ไดโอจีเนสตอบว่าเขากำลังมองหามนุษย์
เพราะสำหรับเขาแล้ว คนที่เป็นมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่คนที่เดินขวักไขว่อยู่บนท้องถนน แต่คือคนที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ไม่หลอกตัวเองด้วยกฎเกณฑ์สังคมไร้สาระ กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยความจริง และมีคุณธรรมในตัวเองที่มาจากธรรมชาติ หาใช่ชื่อเสียงหรือเงินทอง ไดโอจีเนสถึงได้ทำการประชดโลกเพื่อบอกว่ากลางวันแสกๆ เขายังหามนุษย์ประเภทนั้นไม่เจอเลย ถึงได้ต้องใช้โคมไฟช่วยส่อง ประหนึ่งว่าผู้คนมีชีวิต แต่ไม่มีความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง และจิตวิญญาณมนุษย์เลือนหายไปหมดแล้ว
“If I gained one thing from philosophy is that at the very least, I am well prepared to confront any change in fortune.”
อย่างน้อยที่สุด สิ่งหนึ่งที่ปรัชญาให้ฉันมาคือการเตรียมตัวอย่างดีพร้อม เพื่อเผชิญหน้ากับทุกความผันผวนของโชคชะตา