คสธก. สั่งตั้งคณะอนุฯ 2 ชุด ลุยปราบสินค้านำเข้าด้อยคุณภาพ
วันนี้ (10 ธ.ค.2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.) นัดประชุมหน่วยงานภายใต้ คสธก. ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายธนพล ภู่พันธ์ศรี ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งหัวหน้าส่วนราชการจาก 21 ส่วนราชการ เข้าร่วมหารือแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายซึ่ง เป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงานทั้งด้านข้อมูลการบังคับใช้กฎหมาย และการปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันต่อสถานการณ์
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย (คสธก.)
การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการร่วมกันวางแนวทางแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งด้านการค้า ความปลอดภัยผู้บริโภค และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อดำเนินการเชิงรุกในการติดตามและเร่งรัดมาตรการในการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย สร้างความเป็นธรรมทางการค้า แก้ไขปัญหาและปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทย
รองนายกฯกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ได้ดำเนินมาตรการเข้มงวดตรวจสอบสินค้านำเข้าทะลัก โดยเพิ่มอัตราเปิดตู้สินค้า FCL จาก 20% เป็น 30%, ตรวจ X-ray แบบ 100% บริเวณด่านเสี่ยงสูง เช่น จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร และดำเนินคดีผู้กระทำผิดกว่า 86,087 คดี นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ในขณะที่กรมศุลกากรจะจัดเก็บอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยและ SMEs ที่ต้องแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศและป้องกันการนำเข้าสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ
การปราบปรามนอมินี ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด 873 ราย และเตรียมให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตรวจเส้นทางการเงินธุรกิจกลุ่มเสี่ยงนอมินี พร้อมให้ตำรวจและดีเอสไอร่วมดำเนินคดีอย่างเป็นระบบ
ส่วน ด้านการกำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ออกประกาศให้แพลตฟอร์ม e-Commerce ต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ขาย ข้อมูลสินค้า และจัดทำระบบ notice & takedown โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 2568 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการยกระดับความปลอดภัยสินค้าออนไลน์และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดออนไลน์ไทย
นอกจากนี้ ยังได้มีการเร่งบูรณาการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการสวมสิทธิ สร้างความเชื่อมั่นทำให้ประเทศคู่ค้า ตลอดจนรักษามาตรฐาน ภาพลักษณ์ และชื่อเสียงของสินค้าไทยในตลาดโลก
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางการดำเนินการภายใต้ คสธก. โดย จัดทำ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการบริหารจัดการปัญหาสินค้าจากต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศ พ.ศ. …. เพื่อให้การกำหนดนโยบายและมาตรการในการบริหารจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าจากต่างประเทศและธุรกิจต่างประเทศเป็นไปด้วยความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ได้แก่ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยมีอธิบดีกรมศุลกากร และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นประธานคณะอนุกรรมการร่วม และคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เป็นประธานคณะอนุกรรมการร่วม เพื่อยกระดับการบังคับใช้กฎหมายและบูรณาการการทำงานแบบเชิงรุก
และ สนับสนุนการตรวจสอบเส้นทางการเงินธุรกิจกลุ่มเสี่ยงนอมินี โดยได้บูรณาการข้อมูลร่วมระหว่างกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินตลอดจนพัฒนากลไกตรวจสอบผู้ถือหุ้น–เงินทุน–พฤติกรรมเสี่ยง เพื่อป้องกันต่างชาติใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง
รองนายกฯ ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการยกระดับความปลอดภัยสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ การคุ้มครองผู้บริโภค และการสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย โดยใช้ทั้งกฎหมาย เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างหน่วยงานเป็นเครื่องมือหลัก ทั้งนี้ การคุมเข้มนี้ไม่ใช่แค่บังคับใช้กฎหมาย แต่คือการฟื้นความเชื่อมั่นของประเทศ ปกป้องคนไทยและผู้ประกอบการไทยไม่ให้เสียเปรียบ ปิดช่องโหว่ที่ต่างชาติเข้ามาใช้ประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจไทยโดยไม่เป็นธรรม
อ่านข่าว:
เข้มสกัดสินค้าละเมิด พณ. เผย 10 เดือน ยึดของกลางกว่า 5.5 แสนชิ้น
"นายกฯ" สั่งทบทวน หลักเกณฑ์ "บัตรสวัสดิการฯ" ใหม่
พณ.เปิดบูธช่วยผปก.ชายแดน ขนสินค้าขายช่วงซีเกมส์-อาเซียนพาราเกมส์