โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

ศาลอาญาพิพากษา อัจฉริยะ คดีกล่าวหารองอธ.กรมปศุสัตว์ คุก 1 ปี ปรับ 1 แสน รอลงอาญา 2 ปี

สยามนิวส์

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • ทีมข่าวสยามนิวส์
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1983/2566ที่ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯ

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1983/2566ที่ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ เป็นโจทก์ฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ,แจ้งความเท็จฯ

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ วันที่ 7 มิถุนายน 2566 จำเลยเดินทางไปที่กองบังคับการกองปราบปราม กองบัญชาการสอบสวนกลาง โดยจัดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนและมีการไลฟ์สดออกอากาศผ่าน แอพพลิเคชั่นยูทูป ใช้ชื่อคลิปว่า อัจฉริยะร้องสอบผู้การทางหลวงหักหัวคิวลูกน้อง โดยในคำพูดที่จำเลยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั้น มีข้อความที่เป็นการใส่ความโจทก์ เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์โดยการโฆษณา

จากนั้นจำเลยยื่นหนังสือร้องเรียนและร้องทุกข์กล่าวโทษต่อผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาทั้งที่จำเลยรู้หรือควรจะรู้อยู่แล้วว่ามิได้มีการกระทำความผิดอาญาเกิดขึ้น ดำเนินคดีโจทก์กับพวกในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสั่งไม่ฟ้องผู้บริหารเหมืองทองอัครา 15 คดี อันเป็นการกระทำของจำเลยเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญา และการใส่ความโจทก์ นอกจากจะได้รับความ อับอายถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจากประชาชนทั่วไปแล้วยังทำให้โจทก์ถูกผู้บังคับบัญชาไม่ไว้วางใจ ขอเรียกร้องค่าเสียหาย 10 ล้านบาท

เหตุเกิดที่กองบังคับการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ และเขตพื้นที่อื่นทั่วราชอาณาจักร ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173,174,326,328 ประกอบมาตรา 90,91,92

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแถลงข่าวของจำเลยนั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะและข้อความที่จำเลยยื่นร้องเรียน ไม่เป็นความเท็จ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 วรรคแรก พิพากษายกฟ้อง

ต่อมา ศาลอ่าคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.33/2567 ที่นายบุญญกฤช ปิ่นประสงค์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นโจทก์ฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 เวลากลางวัน จําเลยโดยทุจริตได้บังอาจกระทําความผิดต่อกฎหมายหลายบท กล่าวคือจําเลยบังอาจใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยได้กระทําโดยการโฆษณาด้วย เอกสารหรือภาพหรือตัวอักษรที่ทําให้ปรากฏไม่ว่าวิธีการใดๆหรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพหรือบันทึกตัวอักษร กระทําโดยการกระจายเสียง กระจายภาพ หรือกระทําโดยวิธีการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น โดยประการที่น่าจะทํา ให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง โดยจําเลยได้ทําการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนและนักข่าวจํานวนมาก ที่บริเวณกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กองบัญชาการสอบสวนกลาง

โดยใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จโดยระบุชื่อจริงของโจทก์ ใช้อํานาจหน้าที่ในตําแหน่งของโจทก์โดยมิชอบ ทําการอนุญาตให้หน่วยงานเอกชนดําเนินการ นําเนื้อวัวที่หมดอายุแล้วจากประเทศอุรุกวัย ประเทศอิตาลี และประเทศเยอรมันนี รวมจํานวน 3 ตู้คอนเทนเนอร์ มีน้ำหนักรวม 75 ถึง 80 ตัน เข้ามาในราชอาณาจักรไทย โดยผ่านท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือ กรุงเทพฯ เพื่อให้หน่วยงานเอกชนนําไปจําหน่ายให้ประชาชนบริโภค

จําเลยแจ้งความร้องทุข์กล่าวโทษพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ให้ดําเนินคดีกับโจทก์ ซึ่งข้อความที่จําเลยใส่ความโจทก์ดังกล่าวนั้นล้วนเป็นความเท็จทั้งสิ้น เนื่องจากความจริงที่ถูกต้องแล้ว ในช่วงเวลาปี 2563-2564 ในขณะที่โจทก์ดํารงตําแหน่งผู้อํานวยการสํานักควบคุม ป้องกันและบําบัดโรคสัตว์ โจทก์ไม่มีอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบในตําแหน่งตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาต หรือไม่อนุญาตให้หน่วยงานเอกชนนําเข้าเนื้อวัวจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อมาจําหน่ายให้ ประชาชนบริโภคแต่อย่างใด

การกระทําดังกล่าวของจําเลยเป็นการกระทําโดยประการที่ทําให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จาก ประชาชนทั่วไป ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา และเพื่อนร่วมงาน ขอให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับโจทก์เป็นเงิน 5 ล้านบาท เหตุเกิดที่ แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี ต่อเนื่องเกี่ยวพันกับ แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 พระราชบัญญัติแก้ไข เพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา (ฉบับที่ 11)

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่จำเลยแถลงข่าวและเปิดเอกสารโดยมีการชี้ชื่อบุคคลภายในเอกสาร ย่อมหมายถึงโจทก์ โดยการนำเข้า การออกใบอนุญาตเป็นหน้าที่กองสารวัตร และกักกัน ฟังได้ว่าสำนักควบคุมไม่มีอำนาจในการออกใบอนุญาตในการเคลื่อนย้ายเนื้อวัว และไม่ปรากฎว่าโจทก์ออกใบสั่งการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการย้ายเนื้อวัวหมดอายุ ที่จำเลยแถลงข่าวเป็นถ้อยคำที่ขัดต่อความจริง แม้เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะก็ตาม แต่การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต้องไม่เป็นการดูหมิ่น ดูแคลนโจทก์ การกระทำของจำเลยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 329 จำเลบกระทำผิดตามฟ้อง

พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท แต่จำเลยไม่เคยรับโทษมาก่อนโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 2 ปี และให้ชดใช้ค่าสินไหมแก่โจทก์ 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2566

ต่อมาในช่วงเวลา 10.00 น. ที่ห้องพิจารณา 712 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.1631/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ และพล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมฯเป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ

จากกรณีกรณีที่ พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการสืบสวน สอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 (ในขณะนั้น) เป็นรองหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีการเสียชีวิตของ น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม ดารานักแสดงชื่อดัง ยื่นฟ้องนายอัจฉริยะ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายครั้งและจัดแถลงข่าวกล่าวหาในทำนองว่า คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนบิดเบือนพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงในคดีการเสียชีวิตของแตงโม

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า กรณีช่วงเกิดเหตุที่น.ส.ภัทรธิดา หรือแตงโม ตกจากเรือ โจทก์เป็นรองหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวนในคดีดังกล่าว ส่วนจำเลยเป็นประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้ามาตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์คดีร วมถึงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนหลายครั้ง

โดยมีเนื้อหาลักษณะว่าคณะพนักงานสอบสวนได้ทำพยานหลักฐานเท็จ บิดเบือนข้อเท็จจริงและเรียกรับสินบนเพื่อช่วยผู้ต้องหาในคดี การที่จำเลยไม่ได้พูดชื่อจริงของโจทก์ออกมาตามตรง แต่พูดถึงตำแหน่งและตัวย่อของชื่อเล่น ซึ่งในคณะทำงานหรือองค์กรตำรวจก็มีโจทก์แต่เพียงผู้เดียว ถ้อยคำของจำเลยจึงทำให้เข้าใจได้ว่าโจทก์รวมอยู่ในกลุ่มคณะพนักงานสอบสวนที่มีการช่วยเหลือบิดเบือนการทำคดี

อย่างไรก็ตาม จำเลยได้รับข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีส่วนในคดีถึงเรื่องรอยบาดแผลบนขาของแตงโมที่ไม่ใช้การเกิดจากใบพัดเรือ รวมถึงตั้งข้อสงสัยเรื่องการเก็บหลักฐานในคดีหลายๆอย่าง เช่น การเก็บเรือลำที่เกิดเหตุในอู่ของเอกชนแทนของราชการ การเก็บเส้นผม ลายนิ้วมือ ฯลฯ จำเลยจึงคิดว่าการสืบสวนอาจมิชอบ

จากนั้นจำเลยนำเรื่องคดีดังกล่าวเข้าไปร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ รับพิจารณาเป็นคดี โดยภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ออกมาระบุว่าคดีดังกล่าวมีแนวโน้มที่ถูกบิดเบือนหลักฐาน ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...