โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

จับทิศทางการลงทุนไทย ในยุคที่การลงทุนโลกไม่เหมือนเดิมจาก ‘ทรัมป์ 2.0’

The Bangkok Insight

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • The Bangkok Insight

จับทิศทางการลงทุนไทย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน จากระเบียบโลกใหม่ภายใต้ทรัมป์ 2.0 ได้เร่งให้การลงทุนทั่วโลกต้องปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงและโอกาส

ระเบียบโลกใหม่ที่เกิดขึ้นภายใต้ ทรัมป์ 2.0 ประกอบกับการใช้นโยบายกีดกันทางการค้า (Protectionism) ของหลายประเทศได้สร้างแรงกดดันและเร่งให้นักลงทุนทั่วโลกต้องปรับกลยุทธ์การลงทุน ซึ่งการประกาศนโยบายภาษีของสหรัฐ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเร่งให้เกิด 4 กระแสการลงทุนของโลก ได้แก่

ลงทุนไทย

1. Moving to the US : การลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าสหรัฐ เพื่อลดภาระภาษีนำเข้าทั้งจากบริษัทของสหรัฐ ที่ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ บริษัทข้ามชาติที่ต้องการขยายตลาดในสหรัฐ และการลงทุนของประเทศพันธมิตรภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีตอบโต้

2. Global Competitive Relocation : เงินลงทุนมีแนวโน้มไหลเข้าประเทศที่ได้เปรียบทางการแข่งขันโดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นประเทศภายใต้ข้อตกลงการค้า USMCA และประเทศที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้จากสหรัฐ ในอัตราที่ต่ำ

3. From China to Others : การลงทุนจากจีนกระจายไปประเทศอื่นเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น

4. Reshoring/Nearshoring to home country : การกลับมาลงทุนในประเทศหรือในภูมิภาค เพื่อเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านมาตรการจูงใจที่ทยอยออกมาเพื่อสนับสนุนการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือภูมิภาค

นอกจากนี้ แนวโน้มการลงทุนยังเน้น Strategic Investment Focus : การลงทุนในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์แห่งอนาคตที่เชื่อมโยงเมกะเทรนด์ด้านดิจิทัลและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น โครงสร้างพื้นฐานยุคใหม่ การผลิตขั้นสูง Data center เซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงพลังงานสะอาด

แม้นโยบายภาษีของสหรัฐ จะมีแนวโน้มส่งผลต่อบรรยากาศการลงทุนในไทย แต่ในภาพรวมกระแสการลงทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เริ่มพบการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนจากต่างประเทศทั้งในด้านแหล่งเงินทุน กลุ่มอุตสาหกรรม และรูปแบบของโครงการที่เข้ามา

ในภาพรวม นักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้ามาลงทุนไทยต่อเนื่อง จากมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ที่ยังเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 4.70 แสนล้านบาท และเริ่มชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 มาอยู่ที่ 2.47 แสนล้านบาท จากมูลค่าการลงทุนในอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ลดลงหลังขยายตัวสูงในช่วงก่อนหน้า

ขณะที่ภาพรวม การขอรับการส่งเสริมการลงทุนไทยส่วนใหญ่ ยังกระจุกที่อุตสาหกรรมดิจิทัล เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงโลหะและวัสดุ โดยสิงคโปร์เป็นแหล่งเงินทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยสูงสุด ตามด้วย จีน-ฮ่องกง และญี่ปุ่น

อย่างไรก็ตาม แม้การลงทุนจากต่างประเทศจะยังเข้ามาไทยต่อเนื่อง แต่เริ่มเห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ในด้านแหล่งเงินทุน สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. กลุ่มที่ชะลอการลงทุนเพื่อประเมินสถานการณ์ จากการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่ลดลงจากเดิมที่เคยขยายตัวต่อเนื่อง 2. กลุ่มที่การลงทุนลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายของประเทศต้นทางที่ต้องการดึงการลงทุนกลับประเทศ 3,) กลุ่มที่ยังเติบโตดี ชี้ให้เห็นถึงการวางบทบาทไทยในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของภูมิภาค

นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนการลงทุนจากประเทศในยุโรปขยายตัวสูงขึ้น อีกทั้ง การลงทุนจากประเทศตะวันออกกลางยังเข้ามาไทยต่อเนื่องและมูลค่าการลงทุนขยายตัวสูงอย่างก้าวกระโดด ในด้านอุตสาหกรรม การลงทุนจากต่างประเทศขยายไปสู่กิจการย่อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้นทั้งเทคโนโลยีขั้นสูงและดิจิทัล, EV Ecosystem และอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเทรนด์อนาคต

ขณะเดียวกัน ยังเริ่มเห็นการลงทุนในบางอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว อาทิ เหล็กสำหรับงานก่อสร้าง และโซลาร์เซลล์ จากการปรับลดหรือยกเลิกสิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อบริหารความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ และสอดรับกับกติกาด้านความยั่งยืนที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น

ในด้านรูปแบบโครงการ มีแนวโน้มเปลี่ยนไปสู่โครงการขนาดเล็กมากขึ้น คาดว่าเป็นการลงทุนเพื่อเชื่อมต่อ Supply chain ในไทยหรือในอาเซียนที่มีความแข็งแกร่ง รวมถึงการเข้ามาลงทุนตามผู้ผลิตรายใหญ่ที่เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังพบสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในโครงการใหม่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 78% จากค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เพียง 34% บ่งชี้ว่าไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและยังคงรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไทยสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหม่ได้มากขึ้น

ในระยะข้างหน้า คาดว่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทยจะยังมีโอกาสขยายตัวตามทิศทางการค้าโลกที่มีความชัดเจนมากขึ้นประกอบกับการดำเนินมาตรการเชิงรุกของ BOI ในการรักษาฐานนักลงทุนเดิมควบคู่กับการดึงแหล่งเงินทุนใหม่ อีกทั้ง ภาครัฐยังส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตสอดคล้องกับทิศทางการลงทุนโลก อย่างไรก็ตาม ไทยยังต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้านในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

เทียบเพื่อนบ้านในอาเซียนแล้ว ไทยยังตามหลังหลายประเทศ

สำหรับการแข่งขันในภูมิภาคเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากฐานเงินทุนสำคัญอย่างจีนและสิงคโปร์ ซึ่งที่ผ่านมา มูลค่าการอนุมัติการลงทุนจากต่างประเทศของไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งอินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนาม อีกทั้ง สัดส่วนการลงทุนจากต่างประเทศต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (FDI ต่อ GDP) ในปี 2024 ของไทยอยู่ที่เพียง 2.7% ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

สอดคล้องกับข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่ระบุว่า สัดส่วนการลงทุนรวมทั้งจากในและต่างประเทศต่อ GDP ในปี 2567 ของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคที่ 22% และอาจลดลงอีกใน 5 ปีข้างหน้า สะท้อนว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการสร้างแรงขับเคลื่อนการลงทุนทั้งจากในและต่างประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

แนะเร่งปรับตัวและยกระดับศักยภาพการแข่งขัน

ไม่ว่าจะเป็นความท้าทายจากการสร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำและพึ่งพาการนำเข้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในปี 2568 มูลค่าการนำเข้าจากจีนขยายตัวสูงถึง 133% ขณะที่ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ยังทรงตัวใกล้ระดับเฉลี่ยในอดีต สะท้อนถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามายังเชื่อมโยงกับผู้ผลิตในประเทศได้ไม่มาก

นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงจากมาตรการ Transshipment ของสหรัฐ ซึ่งยังไม่ชัดเจนและมีโอกาสกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐ อีกทั้ง ปัจจัยเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ยังคงเป็นข้อจำกัดต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย ทั้งโครงสร้างการผลิตที่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมกลาง-ปลายน้ำ ผลิตภาพแรงงานที่เติบโตช้ากว่าประเทศคู่แข่ง การพัฒนาแรงงานทักษะเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยังไม่ทันต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และต้นทุนพลังงานที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคต่อการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมขั้นสูงได้

อย่างไรก็ดี นโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทย ยังมีศักยภาพดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดี แต่จำเป็นต้องทบทวนต่อเนื่องเพื่อพร้อมรับโอกาสและความท้าทายของการลงทุนโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยควรต้องเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่

เมื่อเปรียบเทียบนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยกับประเทศอาเซียนอย่าง อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และเวียดนามแล้ว ไทยยังมีจุดแข็งสำคัญหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการตั้งฐานการผลิตขั้นสูง

อย่างไรก็ตาม ประเทศในอาเซียนก็มีจุดแข็งเฉพาะตัว เช่น เวียดนามที่มีความได้เปรียบด้านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ หรืออินโดนีเซียที่มีทรัพยากรแร่ธาตุสำคัญต่อระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น ไทยต้องเร่งเสริมความได้เปรียบและต่อยอดจุดแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตใหม่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานและดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงเพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมขั้นสูงที่จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น อีกทั้ง ภาครัฐอาจพิจารณาปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อลดอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และให้ทันต่อบริบทของเศรษฐกิจและรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนไ

ที่สำคัญ ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวยกระดับสู่การเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ได้แก่ 1. การยกระดับการผลิตผ่านการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งระบบอัตโนมัติ และใช้ข้อมูลเพื่อปรับระบบการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงพร้อมทั้งลดต้นทุนให้สามารถแข่งขันได้ 2. ปรับบทบาททางธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลทั้งในด้านคุณภาพและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการต่อยอดการผลิตสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต และ 3. สร้างพันธมิตรกับผู้ผลิตต่างชาติ ผ่านการร่วมมือด้านเทคโนโลยี การพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วม และโอกาสในการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ

ผู้เขียนบทวิเคราะห์ : ดร.กมลมาลย์ แจ้งล้อม นักวิเคราะห์อาวุโส, นางสาวกีรติญา ครองแก้ว นักวิเคราะห์, นางสาวศลิน จารุชาต นักเศรษฐศาสตร์ และนายภาวัต แสวงสัตย์ นักเศรษฐศาสตร์

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ติดตามเราได้ที่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...