ปชป.ลุยหาดใหญ่ เยี่ยมประชาชน-โรงเรียน ‘มาร์ค’ แนะรัฐเพิ่มกำลังซื้อฟื้นเศรษฐกิจภาคใต้
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำคณะ อาทิ นายวีระพงษ์ ประภา นางการดี เลียวไพโรจน์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และนางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้เยี่ยมเยียนและให้กำลังใจประชาชนและนักเรียนที่โรงเรียนบ้านควนลัง และโรงเรียนบ้านเกาะหมี รวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนใน อ.หาดใหญ่ ที่ประสบปัญหาอุทกภัยหนัก ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองยังอยู่ในช่วงสุญญากาศหลังการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ภารกิจหลักในการลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ครั้งนี้มี 2 เรื่อง คือ 1.มาดูปัญหาเรื่องโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง โดยตนอยากให้รัฐบาลเร่งรัดกระบวนการในการที่จะทำให้โรงเรียนกลับมาทำการเรียนการสอนได้ ซึ่งมีปัญหาซับซ้อนอยู่พอสมควร อาทิ ผู้ปกครองไม่มีความพร้อมในการพาลูกมาโรงเรียน ทำให้เด็กขาดเรียน รวมทั้งอุปกรณ์การเรียนและสื่อการเรียนไปกับน้ำ ยังไม่นับรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ต้องเร่งรัดด้วยการติดต่อหาเอกชนด้วยตัวเอง เพื่อให้มีการซ่อมแซมและกลับมาใช้งานได้ ตนจึงอยากให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการเอาความช่วยเหลือของภาครัฐมาลงมาให้ได้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า 2.พบปะภาคเอกชน เพื่อติดตามเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับการเยียวยา การฟื้นฟู และการวางแผนสำหรับอนาคต ซึ่งภาคเอกชนได้นำเสนอมาตรการต่างๆ ต่อภาครัฐแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มกำลังซื้อและเปิดช่องทางทางการเงิน ให้ผู้ประกอบการสามารถต่อลมหายใจหรือฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งในส่วนของการเพิ่มกำลังซื้อ ตนเข้าใจดีว่าเมื่อยุบสภาแล้ว รัฐบาลต้องไปขออนุญาตจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเราอยากให้รัฐบาลและ กกต. เร่งรัดกระบวนการ
“ผมคิดว่ามีเหตุผลในการเติมกำลังซื้อ อาทิ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่งพลัส ถ้าอยากจะทำอีกกรอบ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทุ่มไปในพื้นที่ตรงนี้กับพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบ ผมเชื่อว่าคนในประเทศพร้อมที่จะสนับสนุนคนไทยเหล่านี้เป็นลำดับแรก ถึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาและเร่งรัดในการทำเรื่องนี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนการสนับสนุนเรื่องการเงิน มาตรการที่ผ่านธนาคารของรัฐในปัจจุบันก็ต้องบอกว่ายังไม่เพียงพอและมักจะประสบกับปัญหาเดิมคือมีโครงการ แต่คุณไม่สามารถเข้าถึงได้โดยจะติดเงื่อนไขหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตรงนี้ ถ้าเป็นไปได้ อยากให้รัฐบาลมีคณะทำงานที่เชื่อมระหว่างผู้ออกนโยบาย กับภาคเอกชนและสถาบันการเงินต่างๆ มาทำความเข้าใจว่าเงื่อนไขที่จะสามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุด มีการปรับปรุงผ่อนคลายหลักเกณฑ์อะไรที่คิดว่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดก็น่าจะเป็นทางออกที่ดี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ไม่ใช่ตีความคำว่า ฝน 300 ปี หรือ 1,000 ปี ผิดไปจนเกิดความประมาท แต่ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่แค่ปริมาณน้ำฝน แต่เกิดจากการพัฒนาเมือง ดังนั้นควรมองไปถึงความในอนาคต ถ้าฟื้นฟูทุกอย่างได้ แม้ทำได้เต็มที่ แต่ถ้าปีหน้าเจอสภาพแบบนี้อีก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถทำให้คนพร้อมที่จะอยู่และลงทุนที่นี่ ดังนั้นควรถอดบทเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะกรรมการด้านวิชาการที่เป็นอิสระ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ได้ว่าระบบในวันข้างหน้าต้องปรับปรุงอย่างไร ทั้งโครงสร้าง การเตือนภัย กระบวนการสื่อสาร การบูรณาการของฝ่ายปฏิบัติการต่างๆ เพื่อป้องกันหรืออย่างน้อยบรรเทาภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเก็บเกี่ยวบทเรียนจากวันนี้ และต่อเนื่องไปจนถึงการฟื้นตัวของหาดใหญ่
“ไม่ได้หมายความว่าทำหาดใหญ่ให้เป็นเหมือนก่อนน้ำท่วมอย่างเดียว แต่ควรมองไปข้างหน้าว่าอนาคตที่จะมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งหาดใหญ่ และภาคใต้ควรจะเป็นอย่างไร และทำอย่างไร การขยายหรือการสร้างตรงนี้ขึ้นมาสอดคล้องกับเป้าหมายในเรื่องการทำให้ตัวเมืองมีความสามารถในการระบายน้ำได้ดียิ่งขึ้น และมีผลกระทบกับประชาชนน้อยลง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าเมื่อมีปัญหาน้ำท่วมมักมีการถอดบทเรียน แต่ไม่สามารถนำมาใช้ได้จริง จะมีข้อแนะนำอย่างไรเพื่อให้เกิดเป็นรูปธรรมแท้จริง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราอย่าไปสรุปว่าที่ผ่านมาไม่ได้เก็บเกี่ยวบทเรียนหรือแก้ไขอะไร เพราะน้ำท่วมเมื่อปี 2543 และปี 2553 ก็มีคลอง ร.1 มาช่วยบรรเทา แต่วันนี้ต้องยอมรับสภาพว่าปัญหาเคลื่อนตัวไปอีกจากภาวะโลกร้อน สภาพความแปรปรวนของอากาศ และจากการที่เมืองเติบโตขึ้น และเป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำมากขึ้น ดังนั้น ต้องถอดบทเรียนตรงนี้เพื่อนำไปใช้วางแผนได้ตามหลักที่ถูกต้อง มากกว่าการใช้ความรู้สึกว่าน่าจะต้องทำอย่างนั้นต้องทำอย่างนี้