โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ถอดบทเรียนลงทุนส่งท้ายปีเก่า เตรียมรับมือโลก Multipolar ปีใหม่

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผู้เขียน : ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

มาตามนัด!! ปรากฎการณ์ “Santa Claus Rally” เริ่มขึ้นแล้วในเทศกาลคริสต์มาสนี้ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐโชว์ฟอร์มสวยส่งท้ายปี ทั้งดัชนี Dow Jones และ “S&P 500” กอดคอกันพุ่งทำสถิติสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ใหม่ (All time high) ทิ้งทวนก่อนปิดฉาก 2568!

สถิติในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นในช่วง 5 วันสุดท้ายของเดือนธันวาคม มากถึง 80 ครั้ง และให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.6% จนได้ชื่อเรียกว่า “Santa Claus Rally”

ปีนี้เป็นอีกปีที่ซานต้าใจดีมอบโชคให้คนที่ลงทุนหุ้นสหรัฐส่งท้ายปี หลังจากเมื่อกลางเดือนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ถูกเทขายอย่างหนัก เพราะความกังวลเรื่องมูลค่าที่สูงเกินจริง ล่าสุด “หุ้นกลุ่ม AI” ได้กลับมาเป็นพระเอกช่วยดันตลาดอีกครั้ง และข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาสดใส ตัวเลขยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายใหม่ลดลงเกินคาด ยิ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุด GDP สหรัฐไตรมาส 3 เติบโต +4.3% สูงที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี!

ด้าน “VIX Index” ดัชนีความกลัวของนักลงทุน ก็ส่งสัญญาณความผันผวนของ S&P 500 ได้ร่วงลงต่ำที่สุดในรอบ 12 เดือนแล้ว สะท้อนภาพความกลัวได้หายไปจากตลาดหุ้นแล้ว

ชั่วโมงนี้ ใครที่เคยซื้อดัชนี S&P 500 ไปก่อนหน้านี้ “ไม่มีใครติดดอย”

2568 เป็นปีที่นักลงทุนทั่วโลกต่างได้รับบทเรียนหนักสาหัสที่แตกต่างกันไป บางคนบาดเจ็บในช่วงครึ่งปีแรก บางคนเอาตัวรอดได้ด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้องปรับตัวรับมือทันในกลางปีก็จะมีอาการดีขึ้นได้ในที่สุด

ผมจะชวนมาถอดบทเรียนใหญ่ที่เกิดขึ้น เพื่อให้พวกเราเรียนรู้และตั้งหลักวางแผนการลงทุนในปี 2569 ซึ่งถือเป็นปีย่างก้าวใหม่ที่ใหญ่ของการเริ่มต้นโลกหลายขั้ว หรือ Multipolar World ที่มีศูนย์กลางมหาอำนาจเกิดขึ้นหลายแห่งทั่วโลก จะเห็นระบบต่าง ๆ ระหว่างประเทศไม่ว่าจะด้านเศรษฐกิจ การค้า การเมือง มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะในรูปแบบความร่วมมือหรือการแข่งขันใด ๆ สิ่งที่ตามมาแน่นอนคือ ยิ่งโลกมีความไม่แน่นอนสูง ตลาดก็จะเผชิญกับความผันผวนที่สูงยิ่งขึ้นตามไปด้วยครับ

ถอดบทเรียนปี 2568 ปี “หุ้นสหรัฐ ทองคำ บาทแข็ง”

2568 คือปีแห่งความผันผวนรุนแรงไม่ต่างจากช่วงวิกฤตโควิดที่ลงเร็วขึ้นเร็ว และเป็นขาขึ้นมากกว่าขาลง

ปีนี้ตลาดถูกเขย่าจากนโยบายระดับโลกของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำสหรัฐเพียงคนเดียวที่ประกาศมาตรการเก็บอัตราภาษีนำเข้า (Reciprocal Tariffs) ระดับสูงมากในต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตลาดมองว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่โลกไม่สามารถทำการค้ากันได้อีกแล้ว ช่วงเวลานั้นตลาดหุ้นลงเหวในชั่วพริบตาจากทรัมป์ช็อก เป็นช่วงอารมณ์กลัวสูงสุดของตลาด จนกระทั่งวันที่ 9-10 เม.ย. ที่มีการประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีไปอีก 3 เดือน ตลาดทั่วโลกค่อย ๆ กลับมาเป็นขึ้นได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ

สิ่งที่สอนกันในปีนี้ คือ “ข่าวร้ายที่สุดจะช็อกไปก่อน แล้วที่เหลือจะปรับตัวเอง” เพราะฉะนั้น ใครที่ขายลอตแรกตอนข่าวร้ายสูงสุด มักจะเจ็บปวดเสมอ เพราะตลาดหลังผ่านช่วงความกลัวสูงสุดไปแล้ว สุดท้ายก็มีแต่ดีขึ้น

คงจำกันได้ วันที่ทรัมป์ประกาศเลื่อนจัดเก็บภาษีออกไปแล้ว ทุกคนรู้ว่าความเลวร้ายจบแล้ว และที่เหลือคือการเจรจา เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า ทรัมป์คือนักต่อรอง จึงเลือกเสนอเปิดที่สูงไว้ก่อนเพื่อให้มาเจรจากัน หากประเทศที่ไม่อยากเจรจา สหรัฐก็สามารถเก็บภาษีตามกำหนดได้ แม้ทรัมป์จะเป็นคนที่คาดการณ์ได้ยากมาก

แต่สุดท้ายด้วยความที่อเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจ ประเทศต่าง ๆ ต้องยอมเจรจาเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ ผลสุดท้ายการเจรจาควรจะต้องดีขึ้นหรือกรณีแย่สุดก็เท่ากับอัตราที่ประกาศออกมาตอนแรก หลังจากนั้น ตลาดหุ้นจึงค่อย ๆ เป็นขาขึ้นมาเรื่อย ๆ

แม้กระทั่งปลายปีเกิดความขัดแย้งเรื่องสหรัฐจำกัดการส่งออกชิปไปจีน ทำให้โลกกลัวว่าจะเกิดวิกฤตขึ้นมาอีก ตลาดหุ้นดูเหมือนจะไม่ดี แต่สุดท้ายก็ไปต่อได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น มีปัจจัยบวกจากผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดีเกินคาดด้วย ทำให้ตลาดอเมริกามีโมเมนตัมไปต่อทำ All Time High เกิดขึ้นหลายครั้งในรอบปี

เช่นเดียวกับการเกิดสงคราม เช่น สงครามอิหร่าน-อิสราเอล ช่วงวันแรกที่ยิงกัน ตลาดจะเกิดอารมณ์ความกลัวขึ้นมาและก็มักเป็นวันที่จบขาลงของหุ้น เพราะเมื่อเปิดฉากยิงแล้วเป็นการรบกันฝั่งตะวันออกกลางและไม่ได้ขยายผลมาที่อเมริกา และจีนก็ไม่ได้เข้าก่อฉนวน หรือเข้าข้างใคร ตลาดรู้ว่าจะจบลงได้ ตลาดที่มีอารมณ์กลัวก็ผ่านไป และปรับตัวขึ้นสะท้อนไปล่วงหน้าก่อนแล้ว

ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน คนที่ลงทุนตลาดอเมริกา ที่ไม่ได้ขายขาดทุนหนีทรัมป์ช็อก หรือใครที่จับจังหวะเข้ามาซื้อช่วงตลาดต่ำสุดได้ ก็จะได้กำไรกันถ้วนหน้า เพราะปี 2568 ตลาดหุ้นอเมริกา ยังเป็นขาขึ้นโดยรวม แม้จะมีความผันผวนระหว่างปี แต่ดัชนีฯหลักปิดปีด้วยผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและทำสถิติประวัติศาสตร์ใหม่หลายครั้งในรอบปี

โดยปี 2568 ดัชนี S&P 500 อยู่ในแดนบวกอย่างแข็งแกร่ง โดยปรับตัวขึ้นมา 17-18%YTD และดัชนี Nasdaq โตโดดเด่นมาก +20% ส่วนดัชนี Dow Jones ก็เพิ่มขึ้นเช่นกันราว +13% YTD

บทเรียนที่สำคัญ ก็คือ ตลาดคาดเดาไม่ได้ และอารมณ์คือศัตรูของนักลงทุน ซึ่งปี 2569 ก็ยังมีประเด็นเรื่องผลการตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศว่า “ทรัมป์” ใช้อำนาจโดยมิชอบในการจัดเก็บภาษีนำเข้าหรือไม่ หากผลตัดสินออกมาว่าไม่สามารถใช้อำนาจของประธานาธิบดีในการออกมาตรการเก็บภาษีได้ สหรัฐจะต้องคืนเงินภาษีฯที่เก็บมาจากหลาย ๆ ประเทศอย่างไร เป็นประเด็นที่มีผลกระทบกับตลาด ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นอเมริกามี 2 อย่าง คือ เรื่องของผลประกอบการและอารมณ์นักลงทุนครับ ซึ่งอารมณ์ของนักลงทุนผมก็ได้เล่าไปแล้วจากบทเรียนทรัมป์ช็อก คนที่ขายตัดขาดทุนหวังเก็บเงินสดไว้รอซื้อช่วงที่ลงลึก ๆ แต่ตลาดกลับพลิกขึ้นมาไปต่อได้ ทำให้เข้าลงทุนไม่ทันและยังบาดเจ็บจากขายขาดทุนอีก ต่างกับคนที่จิตใจหนักแน่นและทำการบ้านกล้าลงทุนเพิ่มหรือ DCA ก็เป็นผู้ตัดสินใจถูก

เพราะช่วงนั้นตลาดสหรัฐมีปัจจัยบวก “ผลประกอบการของบริษัท” ไตรมาสแรกยังเติบโตได้ดี ซึ่งจำนวนบริษัทกว่า 80% ของ S&P500 ประกาศงบการเงินดีกว่าคาดทั้งนั้น โดยเฉพาะกลุ่ม 7 นางฟ้า ทำให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่น ตัวหุ้นยังมีการเติบโต และเป็นโอกาสการลงทุนหลังจากที่หุ้นร่วงดิ่งกลางเมษายน ก็พลิกตลาดกลับมาบวกแรง คนที่ทำการบ้านเพื่อคว้าโอกาสในวิกฤตก็สบจังหวะลงทุนช่วงนั้นครับ

บทเรียนจากตลาดอีกหนึ่งบท การถือเงินสดรอจังหวะ 100% ก็ทำให้พลาดโอกาสได้ เพราะหุ้น “ขึ้นมากกว่าลง” ในระยะยาว คนที่ไม่มีแผนมักแพ้ความกลัวและความโลภเสมอ วินัยและการลงทุนต่อเนื่องสำคัญกว่าการทำนายตลาด

“หุ้นเทคฯ และ AI” ยังพุ่งแรง เป็นอีกบทเรียนของนักลงทุน ที่คิดไม่ตกว่า จะเป็นโอกาสที่ต้องรีบคว้า หรือความเสี่ยงฟองสบู่ที่ต้องอ่านให้ขาด? ทำให้หลาย ๆ คนพลาดโอกาสลงทุนในปี 2568 ที่กำลังขาขึ้น

2568 ตลาดการเงินโลกยังเผชิญความผันผวนจากสงครามการค้า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายการเงิน และความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ตลาดหุ้นสหรัฐยังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องได้อย่างเหลือเชื่อ

ใครพาตลาดขึ้นกันแน่?

คำตอบ คือ แรงหนุนหลักของตลาดสหรัฐยังมาจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Magnificent 7 หรือหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งมีน้ำหนักเกือบ 40% ของดัชนี และสามารถสร้างการเติบโตของกำไรได้จริง ไม่ได้เป็นเพียงการเก็งกำไร ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัว GDP และการบริโภคเดินหน้า แม้ตลาดแรงงานเริ่มชะลอบ้าง แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย

Tom Nash นักลงทุนชื่อดังระดับโลก บอกว่า “หุ้น AI อาจแพงถ้าเทียบกับในอดีต แต่ยังไม่แพงเลย ถ้าเทียบกับโอกาสในการเติบโตในอนาคตใน 10 ปีข้างหน้า การเติบโตส่วนใหญ่จะยังคงอยู่ในกลุ่ม AI เป็นหลักต่อไป”

แต่ Brad Gerstner นักลงทุนชื่อดังบอกว่า คำถามไม่ใช่ “มันจะแพงไปไหม” แต่อยู่ “คุณถือได้นานพอหรือเปล่า” เขาแนะนำว่า “ซื้อหุ้น AI สายป่านคุณต้องยาวพอ” คำถามไม่ใช่ “มันจะแพงไปไหม”

ช่วงปี 2569 ผมคาดว่ากลุ่มเทคโนโลยียังมีสตอรี่สร้างการเติบโตออกมาอีกมาก แม้ว่า 2568 มีราคาหุ้น AI บางกลุ่มปรับขึ้นแรงจนถูกตั้งคำถามเรื่องฟองสบู่ แต่เมื่อพิจารณาพื้นฐาน พบว่ายังมีกำไร (Earnings) รองรับ Valuation ภาพโดยรวมต่ำกว่าช่วง Tech Bubble ในอดีต และปัจจุบัน เงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดของบริษัท ซึ่งจะเห็นการจับมือกันของยักษ์เทค “Tesl-Amazon–Oracle” เตรียมลงทุนสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ในประเทศโบลิเวีย หรือ Apple เข้าซื้อหุ้น Nike เป็นมูลค่า 100 ล้านบาท

ฝั่ง NVIDIA แจ้งลูกค้าในจีนว่าจะกลับมาส่งมอบชิป AI รุ่น H200 ให้อีกครั้งก่อนช่วงตรุษจีน หลังจากสหรัฐ ประกาศเลื่อนเก็บภาษีชิปจีน! จะปล่อยให้ภาษีนำเข้าชิปจากจีนจะอยู่ที่ 0% ไปจนถึงมิถุนายน 2570 หรือแม้แต่ Space X ของอีลอน มัส ก็จะเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นด้วย

ผมเชื่อว่า AI ไม่ใช่ฟองสบู่เชิงอุตสาหกรรม แต่เป็น Structural Change ระวัง “ธุรกิจดี แต่ราคาแพง” แนะนำกระจายผ่าน ETF Index เพื่อลดความเสี่ยงเลือกหุ้นผิด

สำหรับทองคำเด่นสุดในปี 2568 จากหลาย ๆ ปัจจัย ล่าสุดราคาพุ่งทะลุ 4,500 ดอลลาร์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จากความตึงเครียด สหรัฐ-เวเนซูเอล่า ก่อนจะดิ่งแรงก่อนปิดปี

ปีนี้ คนร่ำรวยจากราคาทองคำ สิ่งนี้ก็เกิดจาก “ทรัมป์” ด้วยเหมือนกันที่เร่งปฏิกิริยาความไม่เชื่อมั่นต่ออเมริกา เพราะคาดเดาไม่ได้ว่า วันดีคืนดีทรัมป์จะประกาศชักดาบไม่จ่ายหนี้แล้วจะทำอย่างไร ทำให้หลาย ๆ ประเทศก็ลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐ และไปถือครองทองคำแทน ส่งผลให้ทองคำทำ All Time High และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ทองคำพุ่งขึ้นมาถึง 60%-70%

เพราะฉะนั้น คนที่ลงทุนทองคำควรจะต้องระมัดระวังด้วย แม้ว่าอาจจะขึ้นต่อได้ แต่ทรัพย์สินทุกอย่าง หากยิ่งขึ้นสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นเท่านั้น

“ทองคำ” เป็นทรัพย์สินเสี่ยงที่มีวัฏจักรขึ้นและลงเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การลงทุนขาขึ้นต้องพยายามมีสติไว้ก่อน อย่าเคลิบเคลิ้มไปกับตลาด และต้องดูจุดสูงสุดของวัฏจักรช่วงก่อนหน้าด้วย โดยรอบล่าสุด ทองคำเคยขึ้นไปสูงสุดปี 2564 และร่วงลงมา 50% หลังจากนั้นค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนทำจุดสูงสุดใหม่ปี 2567 และวิ่งมาถึงปี 2568

วิธีที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือ หากถือทองคำเกินสัดส่วนกำหนดในแผนจัดพอร์ตแล้ว เช่นกำหนดถือทองคำไว้ 5% แต่ราคาพุ่งจนทำให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น 10% แนะนำให้ Rebalance ด้วยการทะยอยขายบางส่วนออกมา เพื่อลดความเสี่ยงและเป็นการปรับสมดุลให้พอร์ตมีโครงสร้างที่แข็งแรงด้วย การถือเป็นเงินสดเพื่อรอโอกาสลงทุนในทรัพย์สินเดิมหากราคาลงมาแรงมาก ๆ หรือทรัพย์สินอื่นที่น่าสนใจหรือทำผลตอบแทนได้ดีกว่า

บทเรียนของตลาดขาขึ้น ทุกทรัพย์สินล้วนมีวัฏจักร หากทรัพย์สินในพอร์ตเกิดพุ่งขึ้นจนทำให้พอร์ตเสียสมดุล แนะนำควรทำ Rebalance เพื่อลดความเสี่ยงในยามที่ตลาดขาลงจะเสียหายไม่มาก และอย่างน้อย ๆ การทะยอยขายบางส่วนออกมาเป็นการล็อกกำไรถือเป็นเงินสดออกมาก่อน

“ดอกเบี้ยขาลง” เกมยังไม่จบ ตลาดคาดว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อ แม้ข้อมูลเศรษฐกิจบางช่วงขาดความต่อเนื่อง แต่ทิศทางโดยรวมยังเป็นการผ่อนคลายเพื่อประคองเศรษฐกิจ แนวโน้มเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่ในทิศทางอ่อนค่า

แต่สำหรับการประชุมรอบแรกของปี ความหวังที่จะเห็น “เฟดลดดอกเบี้ย” ในเดือนมกราคม อาจจะ “ริบหรี่” หลังจากที่รอบการประชุมล่าสุดของปี 2568 (ต้นเดือนธันวาคม) เฟดได้ลดดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สามในรอบปี โดย “เจอโรม พาวเวลล์” ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่า การลดดอกเบี้ยจะยากขึ้น ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะออกมาในระยะข้างหน้า

เฟดยุคพาวเวลล์ยังเผชิญกับแรงกดดันของทรัมป์ที่ต้องการให้สหรัฐมีอัตราดอกเบี้ยที่ “ต่ำที่สุดในโลก” ท่ามกลางการแทรกแซงความเป็นอิสระของเฟด อาจจะกระทบต่อความเชื่อมั่นตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี ซึ่งเป็นช่วงที่พาวเวลล์หมดวาระประธานเฟด

ขณะที่การเลือกประธานเฟดคนใหม่ ทรัมป์ประกาศชัดเจน “ใครที่ไม่เห็นด้วยกับผม จะไม่มีวันได้เป็นประธาน FED” และ “ประธาน FED คนถัดไป ควรหารือกับเขาก่อนตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย”

เขามีรายชื่อแคนดิเดตเลือกระหว่าง Kevin Warsh หรือ Kevin Hassett เป็นประธาน FED คนต่อไปแทน “พาวเวลล์” ที่จะหมดวาระในกลางปี 2569

อะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีใครคาดเดาล่วงหน้าได้ครับ ครึ่งปีหลัง การตอบสนองของประธานเฟดคนใหม่กับประธานาธิบดีทรัมป์ จะราบรื่นแค่ไหน เป็นกระแสใหญ่ที่โลกจดจ่อ และปัจจัย “ดอกเบี้ยขาลง” ปีหน้าอาจเป็นปีสุดท้ายที่ส่งบวกต่อตลาดครับ

เรื่องสุดท้าย “ค่าเงินบาทแข็ง” โอกาสที่เงินบาทจะหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์ หรือไม่ และกระทบต่อคนที่ลงทุนในต่างประเทศอย่างไร

คงจะตอบยาก เพราะค่าเงินบาท เกี่ยวกับหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจ นโยบายรัฐบาล รวมถึงปัจจัยนอกประเทศ แนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งปีนี้ YTD ค่าเงินบาทแข็งขึ้นราว 9% ซึ่งสถิติจุดต่ำสุดของเงินบาทแข็งในรอบล่าสุด อยู่ที่ระดับ 29.76บาทต่อดอลลาร์ ในปี 2563 ซึ่งเงินบาทแข็งในรอบนี้ก็อาจมีโอกาสไปใกล้เคียงจุดนี้ได้ แต่สุดท้าย รัฐบาลก็ต้อหันมาเริ่มจัดการอะไรมากขึ้น เพราะถ้าปล่อยแข็งไปเรื่อย ๆ ผู้ประกอบการจะอยู่ยาก จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทเองก็มีวัฏจักรขึ้นและลงเช่นกัน จะเห็นได้จากช่วงที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้น กระทบต่อเงินบาทอ่อนค่า เพราะเงินลงทุนจะไหลไปหาเงินสกุลดอลลาร์หมด เพื่อเอาดอกเบี้ยสูงหรือผลตอบแทนทรัพย์สินอื่น ๆ เช่นหุ้นสหรัฐที่เป็นสกุลดอลลาร์

สถานการณ์ในปัจจุบัน เฟดมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดดอกเบี้ย จึงทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัว กระทบต่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ประกอบกับไทยมีปัจจัยเรื่องทองคำที่มีแรงเทขายเฉลี่ยวันละ 65,000 ล้านบาท ยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องติดตามว่า ธปท. และภาครัฐ จะยื่นมือเข้ามาจัดการอย่างไร

ปกติ ค่าเงินสกุลต่าง ๆ ย่อมมีแข็งและอ่อนเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว สำหรับค่าเงินบาทก็เช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าใครลงทุนอยู่แล้วก็ไม่ได้จำเป็นต้องรีบร้อนถอนเงินลงทุน ออกในตอนนี้ เพราะหากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว 10 ปี และยังลงทุนแบบถัวเฉลี่ยหรือ DCA ยิ่งจะไม่มีปัญหา เพราะสุดท้ายการเฉลี่ยต้นทุนค่าเงิน จะยิ่งช่วยลดผลกระทบการขาดทุนจากค่าเงินได้

จริง ๆ แล้วค่าเงินมีความผันผวนที่น้อยกว่าตลาดหุ้น เช่น หุ้นอเมริกา บวก 10 – 20% แต่ค่าเงินอ่อน 10% หากคุณถือหุ้นนานเท่าไหร่ ความเสี่ยงของค่าเงินผันผวนจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตน้อยลงเท่านั้น แม้แต่ลูกค้าของ Jitta Wealth ที่ลงทุนใน Global ETF (แผนเติบโต) ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ต่อปี (สกุลเงินบาท) แต่หากดูสกุลดอลลาร์จะได้ถึง 17% ซึ่งหากลงทุนระยะยาวถือไปเรื่อย ๆ รอช่วงเงินบาทอ่อนค่าค่อยขายออกมาก็จะได้กำไรจากค่าเงินด้วย

ผมอยากจะชี้เป้า ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็ง เป็นโอกาสดีของคนที่จะออกไปลงทุนต่างประเทศ เพราะจะมีต้นทุนที่ถูก ขณะที่หุ้นอเมริกายังขึ้น จะยิ่งทำให้เหมือนได้ซื้อหุ้นแพงในราคาที่ถูกกว่าคนอื่น และแนะนำว่า ควรลงทุนแบบ DCA เพราะไม่มีใครจับจังหวะค่าเงินได้ครับ คุณควรทำตามแผนลงทุนระยะยาว จะได้ไปถึงเป้าหมายการลงทุนแน่นอน เพราะมีการพิสูจน์มาแล้ว คนที่ลงทุน DCA ทั้งค่าเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ จะเป็นผู้ชนะในโลกที่ผันผวนสูง

ติดอาวุธลงทุน “ความรู้ วินัย DCA” รับมือโลก Multipolar

โลกการลงทุนในปี 2569 ไม่ใช่เรื่องของการหาหุ้นที่ขึ้นแรงที่สุด แต่คือการวางแผนให้เงินเติบโตได้ แม้ในวันที่ตลาดผันผวน…ภายใต้โลกหลายขั้ว (Multipolar World) ที่กำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนแปลงศูนย์กลางอำนาจที่เกิดขึ้นหลายแห่งพร้อมกันทั่วโลก

หลักง่าย ๆ ในการจัดพอร์ตที่ผมแนะนำ Core & Satellite

พอร์ต Core 80% เน้นความมั่นคงในการสร้างผลตแบแทนเข้าพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นลงทุนกระจายทั่วโลกในทรัพย์สินหลัก ๆ เช่น หุ้นสหรัฐ, หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว, หุ้นตลาดเกิดใหม่, หุ้นกู้เอกชนคุณภาพดี ซึ่งพอร์ต Global ETF (แผนเติบโต) ก็ลงทุนในทรัพย์สินทั่วโลกเช่นกันครับ สร้างผลตอบแทนเป้าหมายประมาณ 8% ต่อปี ซึ่งสามารถเข้าไปดูไส้ในของทรัพย์สินที่ลงทุนได้ครับ จะเห็นผมจัดพอร์ตเน้นกระจายความเสี่ยงทั่วโลก หากตลาดฝั่งไหนขาลง จะมีอีกตลาดหนึ่งที่ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้

ส่วน Satellite Port อีก 20% จะเพิ่มโอกาสสร้างผลลตอบแทนตามวัฏจักรตลาด ทรัพย์สินหลัก ๆ จะเป็นหุ้นรายประเทศที่เติบโตสูง ซึ่งในปี 2569 AI ก็ยังมองหุ้นจีน-ฮ่องกง มีโอกาสเพราะราคายังถูกและความกลัวยังสูง

นอกจากนี้ยังมีธีมเมกะเทรนด์นำโดย เทคโนโลยีเชิงลึก Deep Tech เช่น AI, Quantum Computing, Spacetech ที่ล่าสุด อีลอน มัส จะส่ง SpaceX เข้าตลาดหุ้น รวมถึง Energy Tech เป็นต้น เมกะเทรนด์พลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า เมกะเทรนด์สุขภาพและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอายุยืนยาว (Longevity) และอีกหลายเมกะเทรนด์รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ อุตสาหกรรมค้าปลีกต่าง ๆ เป็นต้น

Asset Allocation ยังเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการพอร์ตให้มีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว การควบคุมอารมณ์ ด้วยการมีสติและมีความรู้ เป็นอาวุธสำคัญที่จะพาคุณเผชิญกับโลก Multi-polar ที่ซับซ้อนและผันผวนหนักกว่าปีนี้

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ผมย้ำว่าให้ตั้งหลักจัดพอร์ต Core ขึ้นมาก่อนครับ เพราะจะทำให้คุณมีพอร์ตที่แข็งแรงสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว

โดยสิ่งสำคัญในการเริ่มต้นลงทุน ที่จะนำไปสู่การประสบความสำเร็จในระยะยาว คือ การมี “วินัย” สำคัญกว่าเงินต้น นั่นคือ DCA สม่ำเสมอ อาทิ ถ้ามีรายได้ประจำ แนะนำ ลงทุนประจำทุกเดือน หรือ ทุก 3 เดือน หรือรายปีก็ได้ จะช่วยเรื่องตัดอารมณ์ในการจับจังหวะลงทุน เพราะไม่มีใครคาดได้ว่าช่วงที่ซื้อเป็นราคาที่ดีที่สุดหรือแพงที่สุด

เพราะฉะนั้น DCA จะทำให้มีได้ราคาถูกกว่าตลาดเมื่อใดที่ตลาดผันผวน พอร์ตของคุณจะผันผวนน้อยกว่า และหากลงทุนระยะยาวไปเรื่อย ๆ จะสร้างพลังดอกเบี้ยทบต้นให้พอร์ตเติบโตรวดเร็ว

ความมั่งคั่งไม่ได้มาจากเงินก้อนแรก แต่มาจากวินัยและเวลา และการเริ่มเร็ว แม้ด้วยเงินน้อย มักชนะการเริ่มช้า แม้ด้วยเงินที่มากกว่า

และสิ่งสำคัญที่สุดของนักลงทุน คือ การลงทุนที่ดีต้องเติบโตไปพร้อมกัน 3 ด้าน ความรู้ ความสัมพันธ์ และ สุขภาพ

สุดท้ายนี้ผมขอสวัสดีปีใหม่ผู้อ่านทุกท่าน และขอฝากข้อคิดจากคุณปู่ Warren Buffett นักลงทุนในตำนานโลก ไว้เป็นของขวัญปีใหม่ที่จะมาถึง

“จงลงทุนในความรู้ จงลงทุนในสุขภาพ เพราะไม่มีใครมาแย่งมันไปจากคุณได้”

สิ่งเหล่านี้จะเป็นสินทรัพย์เดียวที่สร้างดอกเบี้ยทบต้นได้ตลอดชีวิตครับ

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ถอดบทเรียนลงทุนส่งท้ายปีเก่า เตรียมรับมือโลก Multipolar ปีใหม่

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...