โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

CHANEL Métiers d’Art 2026 แฟชั่นโชว์ที่ Matthieu Blazy ได้ก้าวไปอีกขั้น

THE STANDARD

อัพเดต 08 ธ.ค. เวลา 00.25 น. • เผยแพร่ 07 ธ.ค. เวลา 11.00 น. • thestandard.co
CHANEL Métiers d’Art 2026 แฟชั่นโชว์ที่ Matthieu Blazy ได้ก้าวไปอีกขั้น

ภายในระยะเวลาแค่ 2 เดือนกับ 2 คอลเล็กชัน ผู้ชายที่ชื่อ Matthieu Blazy ได้สร้างสรรค์ผลงานที่ CHANEL ในฐานะ Artistic Director of Fashion Activities ได้ยอดเยี่ยมถึงขั้นที่สำหรับผมแล้วถือว่าเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ของวงการแฟชั่นที่เราไม่ได้เห็นกันบ่อยนัก ซึ่งท่ามกลางความน่าเป็นห่วงของอุตสาหกรรมลักชัวรีกับยอดขายที่ลดลง ความเบื่อหน่ายของลูกค้าที่มีต่อสินค้า คุณภาพ และราคา เขาคนนี้นี่แหละอาจจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่จะมากอบกู้สถานการณ์ โดยเฉพาะกับแบรนด์ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเสาหลักของวงการ ที่ไม่เพียงขับเคลื่อนธุรกิจแฟชั่น แต่แต่วัฒนธรรมของเราด้วย

ล่าสุดกับแฟชั่นโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 ที่ผมได้มีโอกาสบินไปดูที่มหานครนิวยอร์ก ผมต้องบอกเลยว่านี่คือหนึ่งในแฟชั่นโชว์ที่ผมชื่นชอบที่สุดตลอด 13 ปีที่ทำงานในวงการนี้มา ไม่ใช่แค่เพราะเพียงเสื้อผ้าที่งดงามเหลือเกิน แต่ถ้าคุณมองลึกลงไปในทุกมิติในเรื่อง Branding, Storytelling, Ambassadorship, Scenography หรือโซเชียลมีเดียที่ใช้ประกอบโชว์นี้ และเชื่อมต่อทุกอย่างด้วยกัน ผมว่า CHANEL กำลังเจอสูตรสำเร็จที่เราสามารถเรียนรู้และเอาไปประยุกต์ได้ในยุคนี้ ไม่ว่าจะทำงานในวงการอะไรก็ตาม

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

Why New York City?

การที่ CHANEL ตัดสินใจมาจัดแฟชั่นโชว์ Métiers d’Art 2026 ที่มหานครนิวยอร์กถือว่าไม่ใช่มิติใหม่เพราะเคยจัดมาแล้วในปี 2005 และ 2018 แต่เราต้องมองเป็นสองส่วนก่อน เพื่อเข้าใจทำไมแบรนด์ถึงปักหมุดมาที่นี่ พาร์ทแรกคือเรื่องของธุรกิจที่ยอดขายตลาดลักชัวรีในสหรัฐอเมริกาถือว่ายังคงแกร่งอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องประจำของบรรดาซูเปอร์แบรนด์ที่พอจะจัด Destination Show (ที่ไม่ใช่ช่วงแฟชั่นวีค) ก็ต้องเลือกเมืองที่จะตอบโจทย์ด้านกลุ่มลูกค้า VIC ที่ยังมีกำลังที่จะซื้อ พร้อมกับมี Potential ในด้านการขยายตลาดต่อไป ซึ่งเลยไม่น่าแปลกใจทำไมแบรนด์คู่แข่งอย่าง Louis Vuitton, Gucci และ Dior ก็เลือกจัดโชว์ Cruise ในอเมริกาปีหน้าเช่นกัน

ส่วนเหตุผลที่สองก็คือ เมืองอย่างนิวยอร์กถือว่ายังเป็นศูนย์กลางเรื่องวัฒนธรรมที่จะสามารถช่วยเรื่อง Storytelling ของแบรนด์ CHANEL ได้ดีในหลากหลายมิติ โดยสำหรับแฟชั่นโชว์ Métiers d’Art 2026 ทาง Matthieu Blazy กับ Bruno Pavlovsky ประธานฝั่งแฟชั่นของแบรนด์ก็ฉลาดที่จะไม่เลือกจัดแฟชั่นในโซน Upper East Side เหมือนครั้งก่อนๆ ที่จะมีภาพลักษณ์ของย่านคนรวยฟู่ฟ่าเหมือนชีวิตตัวละครใน Gossip Girl แบบที่ว่าเช้าตื่นไปวิ่ง Central Park ก่อนให้คนขับรถพาไปช้อปปิ้งที่ Bergdorfs Goodman และตกเย็นก็ต้องไปดื่มที่ Bemelmans Bar ณ โรงแรม The Carlyle Hotel ซึ่งแม้จะสร้างฝัน สร้างจินตนาการได้ แต่ก็เข้าถึงยากสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับ CHANEL ในยุค Matthieu Blazy จะเห็นได้ชัดตั้งแต่โชว์เดบิวต์เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่าเขาอยากสะท้อนผู้หญิงในหลากหลายอิริยาบถ หลากหลายอาชีพ และหลากหลายเส้นทางชีวิต ที่ไม่ได้เป็นแค่คุณหญิงคุณนายอีกต่อไป

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

นั้นคือเหตุผลทำไมถึงโชว์ Métiers d’Art 2026 เขาเลือกที่จะไปจัดในรถไฟใต้ดิน Subway ของนิวยอร์ก เพราะเสน่ห์ของ Subway ที่นิวยอร์กคือคุณจะพบเจอตัวละครเต็มไปหมดที่จะไม่แบ่งแยกวรรณะ คุณจะเห็นนักธุรกิจ Wall Street ใส่สูทอ่านหนังสือพิมพ์ The New York Times นั่งเคียงข้างแม่บ้านที่กำลังจะไปทำงานที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง และตรงกันข้ามจะมีนักเรียน NYU นั่งติดพีอาร์สาวเปรี้ยวที่กำลังคำนวณยอด Earned Media Value อยู่

ส่วนทำไมต้องเป็น Subway สถานี Bowery Station ในย่าน Lower East Side ก็เพราะว่า Matthieu Blazy เองก็ใช้ชีวิตอยู่ย่านนี้ตอนทำงานเป็นมือขวาของ Raf Simons ที่ Calvin Klein ในช่วงปี 2016-2019 บวกกับว่าในยุคสมัยที่ Gabrielle Chanel ผู้ก่อตั้งแบรนด์ CHANEL มาอเมริกาครั้งแรกในปี 1931 เพื่อมาทำชุดคอสตูมให้วงการฮอลลีวูด เธอก็เห็นว่า แม้ตัวเองจะอาศัยและคลุกคลีอยู่กับคนสังคมชั้นสูงที่ย่าน Upper East Side ณ โรงแรม Pierre แต่พอเธอมาย่าน Lower East Side เธอก็เจอผู้หญิงหลายคนพยายามแต่งตัวตามสไตล์แบรนด์ CHANEL ในแบบของตัวเอง ซึ่งก็สร้างแรงบันดาลใจต่อ Gabrielle Chanel อย่างมากและนำสิ่งนี้ไปต่อยอดในเสื้อผ้าคอลเล็กชันต่อๆ ไป

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

Playing with “Future Nostalgia”

หลายคนอาจจะสงสัยว่า “Future Nostalgia” คืออะไร ซึ่งผมเองยืมสองคำนี้จากชื่ออัลบั้มชุดที่ 2 ของ Dua Lipa ที่เธอก็ช่วยทำให้กระเป๋า CHANEL 25 ดังเป็นพลุแตกในปีนี้ โดยผมชอบคำนี้เพราะคิดว่าเป็นกลยุทธ์ที่ Matthieu Blazy ได้ใช้ในการสร้าง CHANEL Universe ของเขา ทั้งในการรังสรรค์เสื้อผ้าและตัวโชว์ ซึ่งผมตีความ “Future Nostalgia” ว่าคือการที่เราจะสร้างอะไรสดใหม่สำหรับวันข้างหน้า แต่หยิบเรื่องราวในอดีตที่มีความสำคัญต่อตัวเราและวัฒนธรรมในยุคนั้นๆ นำมาเล่าใหม่

โดยสำหรับ CHANEL Métiers d’Art 2026 เราจะเห็นได้ว่าคอนเซปต์หลักของคอลเล็กชันนี้คือการที่ Matthieu Blazy อยากสร้างกลุ่มตัวละคร Archetype ของมหานครนิวยอร์ก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง Uptown, Downtown, Soho, Tribecca หรือ Brooklyn พร้อมกับเสื้อผ้าที่รูปทรงสะท้อนสิ่งนั้นได้อย่างเด่นชัด แต่หากดูในเชิงลวดลายและดีเทลก็จะแฝงด้วยความขี้เล่น ความป๊อปคัลเจอร์ของอเมริกา และเล่นกับ Cliché ต่างๆ แต่ยกระดับด้วยงานฝีมืออันยอดเยี่ยมของบรรดาเวิร์กช็อปในหน่วย Paraffection ของ CHANEL เช่นชุดสูทและกระโปรงลายแดง-ขาว ประดับ Fringe ที่ Matthieu ได้แรงบันดาลใจจากชุด Spiderman, ชุดเสื้อยืดปัก I ❤️ NY ที่แมตช์กับสูททวีตสีแดง-น้ำเงิน-ขาว ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Captain America, ชุดของตัวละคร Clark Kent โมเมนต์ที่จะแปลงร่างเป็น Superman หรือจะชุดลูกปัดหินส้ม-ดำที่เอาลายมาจากตัวเสือ Frosty The Tiger บนกล่องซีเรียลอาหารเช้า Frosted Flakes

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

นอกเหนือจากนั้น Matthieu Blazy ก็ไม่ลืมที่จะยังยกย่อง Gabrielle Chanel ที่ไม่คิดแบบผิวเผิน โดยเขาได้ศึกษาการมาที่อเมริกาครั้งแรกของเธอในปี 1931 เพื่อมาทำคอสตูมให้ภาพยนตร์เรื่อง Tonight or Never นำแสดงโดย Gloria Swanson ซึ่ง Matthieu ก็ได้นำโปสเตอร์ของเรื่องนี้มาสกรีนบนลุคเทรนจ์โค้ทและกระเป๋าทรงคลาสสิก

และปิดท้ายด้วยคอนเซปต์ Future Nostalgia ที่เราเห็นในแฟชั่นโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 ก็คือเพลงประกอบโชว์ที่ทาง Matthieu Blazy ได้ให้ Michel Gaubert มาทำร่วมกับศิลปินชาวฝรั่งเศส Le Motel อีกครั้ง ซึ่งตัวเพลงจะเป็นการนำเพลงต่างๆ มารีมิกซ์ใหม่ พร้อมใส่ Soundbite จากภาพยนตร์ และจากชีวิตประจำวันตามท้องถนนจริงๆ โดยไฮไลท์จะอยู่ที่การนำเพลงยุค 90 สุดไอคอนิกมาเป็นนางเอกของตัวซาวด์แทร็กที่จะทำให้คนย้อนวันวานและต้องเอามาใช้ตอนลงเกี่ยวกับโชว์ในโซเชียลมีเดียจนไวรัลอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นเพลง Torn เวอร์ชัน Natalie Imbruglia นั่นเอง

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

The Men of CHANEL

หนึ่งในคอนเทนต์และการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในช่วงนี้ก็คือ CHANEL จะเริ่มทำ Menswear อย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะตอนที่ A$AP Rocky ได้ใส่ชุดคอลเล็กชันแรกของ Matthieu Blazy ไปรับรางวัล Style Icon ที่งาน CFDA Awards 2025 และต่อมาถูกประกาศแต่งตั้งให้เป็น House Ambassador คนล่าสุดไม่กี่วันก่อนแฟชั่นโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 ซึ่งเขาก็ได้แสดงในภาพยนตร์สั้นประกอบโชว์นี้ด้วยกับ Margaret Qualley ที่ได้ Michael Gondry มากำกับให้

แต่ผมขอแสดงความเสียใจด้วยว่า CHANEL Menswear จะยังไม่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ เพราะทาง CHANEL ยังยืนยันว่าเป็นแบรนด์แฟชั่นผู้หญิง แต่ในขณะเดียวกัน ผมเองก็คิดว่า CHANEL ก็เก่งในการใช้ Marketing Psychology เสมอมา ตรงที่ว่าแม้เขาจะพูดว่าจะไม่ได้ทำเสื้อผ้าผู้ชาย แต่ทางแบรนด์ก็ไม่ได้ปิดกั้นการที่ผู้ชายจะใส่เสื้อผ้าของแบรนด์ และยิ่งพอมีแฟชั่นโชว์อย่าง CHANEL Métiers d’Art 2026 ก็ชวนดาราชายหลายคนให้มาชม ทั้ง G-Dragon, Wang Yibo, Bowen Yang, Jon Bon Jovi หรือ เจมีไนน์ นรวิชญ์ ในลุคที่ต่างกันออกไป เช่นของ G-Dragon ก็จะมีความ Gender Fluid ตามสไตล์ที่แอมบาสเดอร์คนแรกของเกาหลีใต้เล่นมาเสมอเพื่อเข้าถึงผู้ชายที่ชอบแต่งตัวจัดจ้าน หรือจะเจมีไนน์ในลุคแจ็กเกตเดนิมก็ดูมีความ American Sportswear ที่เป็นชิ้นคลาสสิกใส่ได้ตลอดเวลา

โดยหากคุณเดินเข้าไปร้าน CHANEL ในบางสาขาทั่วโลก รองเท้าก็มีถึงไซส์ 44 หรือว่าแจ็กเกตที่เราเห็นบนรันเวย์ก็มีการปรับขนาดด้านไหล่ให้กว้างขึ้นเพื่อให้ผู้ชายใส่ได้ แถมในโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 ทาง Matthieu Blazy ก็ดีไซน์หลายชิ้นที่ดู Unisex เช่นโค้ตตัวยาว กระเป๋าหนังใส่เอกสาร หรือจะเป็นสเวตเตอร์ทรง Half-Zip สีเบจที่เปิดโชว์ ซึ่งตอนจบ Matthieu Blazy ก็ออกมาโค้งคำนับในเวอร์ชันสีน้ำเงิน

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

New Energy, New Social Media Strategy

พูดถึงเจมีไนน์แล้ว ผมก็ได้ถามหัวหน้าทีมสื่อสาร CHANEL ประเทศไทยว่าทำไมถึงได้เลือกน้องมาดูโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 โดยผมก็ได้คำตอบสั้นๆ 4 คำ ที่ครอบคลุมเหตุผลทั้งหมดนั่นก็คือ “We Need New Energy” โดยเราจะเห็นได้ชัดว่าสำหรับโชว์นี้ทุกอย่างจะมีความชีวิตชีวามากขึ้น และให้แขกทุกคนเป็นตัวของตัวเองไปเลย ไม่ต้องมา Keep Look หรือประดิษฐ์อะไรเยอะ

ซึ่งผมว่าเจมีไนน์เป็นตัวแทนที่ดีในด้านนี้ เป็นคนที่ Go with the Flow เป็นคนสนุกกับชีวิตตามที่คนอายุ 21 ปีควรจะเป็น แต่ก็มีวินัยที่ไม่ลืมที่จะศึกษาเรื่องราวของแบรนด์และคอลเล็กชันนี้เพื่อไปพูดคุยกับสื่อไทยหรือต่างประเทศได้ดี โดยไม่ได้ให้คำตอบแค่ “I really like this collection and want to wear many pieces” และปิดจบ

แต่ความ “New Energy” ที่พูดถึงก็มีให้เห็นด้านการใช้โซเชียลมีเดียของ CHANEL ด้วยที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ Matthieu Blazy ได้เข้ามาเป็นดีไซเนอร์ โดยสิ่งที่ชัดเจนสุดคือการที่ทางแบรนด์เริ่มศึกษาและใช้ TikTok อย่างจริงจัง ซึ่งทาง CHANEL ก็เข้าใจว่าด้วย Algorithm ของ TikTok จะมาโพสต์วิดีโอแคมเปญหรือรันเวย์ตัวเดียวกันกับของ Instagram ก็คงไม่เวิร์กมากนัก และต้องมีการทำคอนเทนต์ Tik-Tok Only ด้วย ซึ่งกับโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 ใน TikTok ของแบรนด์ก็มีการโพสต์วิดีโอง่ายๆ ที่ตัวหนึ่งให้ดาราอย่าง A$AP Rocky มายกหูตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญในสถานที่จัดโชว์ หรือจะเป็นอีกวิดีโอที่ให้แอมบาสเดอร์อย่าง G-Dragon มาทำหน้าที่คนอยู่ที่บูทขายตั๋ว แต่กลับอ่านหนังสือพิเศษที่ทาง CHANEL ทำร่วมกับ La Gazette ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์แรกของประเทศฝรั่งเศส

View this post on Instagram

A post shared by Bhavitha Mandava (@bhavithamandava)

นอกจากนั้นผมว่าทีม CHANEL กล้าที่จะหลุดกรอบมากขึ้น และเข้าใจว่าถ้าแบรนด์อยากมี Cultural Relevance ที่จะเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ เราก็ต้องเอาตัวเองไปอยู่ในคอนเทนต์ที่เขาเสพกัน โดยตัวอย่างสำคัญคือกับนางแบบเปิดโชว์ Métiers d’Art 2026 อย่าง Bhavitha Mandava ที่สร้างประวัติศาสตร์เป็นนางแบบอินเดียคนแรกที่ได้เปิดแฟชั่นโชว์ CHANEL ซึ่งในช่องไอจีของเธอก็มีการทำวิดีโอ Vox Pop ถาม-ตอบหลังแบ็กสเตจกับเหล่านางแบบให้มาพูดว่า “ผู้หญิงฉบับ CHANEL ของคุณคืออะไร”

ซึ่งในอดีตไม่มีทางที่แบรนด์อย่าง CHANEL จะอนุญาตให้มีการถ่ายคอนเทนต์แบบนี้ได้ เพราะกลัวเรื่องภาพลักษณ์และทุกอย่างที่เสนอออกไปต้องสวยหรูเสมอ ซึ่งจากความไวรัลของคลิปและคอนเซปต์โชว์นี้ก็เลยทำให้ตอนนี้เริ่มมี Challenge ใน TikTok ให้ผู้หญิงถ่ายตัวเองในรถไฟใต้ดินและตอบคำถามว่า “What CHANEL Woman Are You?”

หรืออีกตัวอย่างก็คือการชวน Content Creator ชื่อดังอย่าง Isaac Hindin-Miller มาที่แฟชั่นโชว์ ซึ่งเขาก็ได้ทำคลิปสัมภาษณ์กับแบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Sofia Coppola และลูกสาว Romy Mars พร้อมประโยคเปิดคลิปสุดไวรัล “Whaaaaaat is the…” ซึ่งก็ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่เฉียบคมและ Make Sense เพราะเอาเข้าจริง คนรุ่นใหม่ก็อาจจะเบื่อการชมคลิปวิดีโอที่ให้ดารามาพูดถึงความรู้สึกต่อโชว์ ที่คำตอบก็วนเหมือนเดิมกับทุกสื่อ

Matthieu Blazy หรือโลโก้ CHANEL

Predicting the Future

ผมว่าแฟชั่นโชว์ CHANEL Métiers d’Art 2026 เป็นโมเมนต์ที่ตอบโจทย์ได้ดีมากถึงการที่แบรนด์แฟชั่นต้องเดินหน้ากล้าลองอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเราจำเจอยู่แต่กับ Framework เดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดีไซน์เสื้อผ้า แขกที่เชิญไปโชว์ สื่อที่เชิญไปโชว์ และการสร้างแต่คอนเทนต์เหมือน 5 ปีที่แล้ว เราก็จะติดกับดักเดิมที่หลุดพ้นไม่ได้สักที และความสนใจของคนก็จะไปอยู่ที่แบรนด์อื่น โดยผมคิดว่า Matthieu Blazy และทีมของเขามองขาดในสิ่งนี้ เหมือนกับตอนที่ Karl Lagerfeld เริ่มเห็นความสำคัญของโซเชียลมีเดียในยุค 2000 ต้นๆ เลยต้องให้ CHANEL จัดโชว์สุดตระการตาเพื่อจะ Break the Internet อยู่ทุกซีซั่น แต่กับยุคสมัยนี้มันต้องมากับ Human Connection และอะไรที่สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู

อีกอย่างที่ผมต้องขอชื่นชม Matthieu Blazy ก็คือเขาสามารถสร้างคอลเล็กชันที่ตอบโจทย์ทุกระดับของ Brand Pyramid ของ CHANEL ตั้งแต่ซูเปอร์วีไอพีด้านบนสุดที่ต้องการไอเท็มสุดพรีเมียมแบบ One-of-a-kind จนถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ตรงฐานพีระมิดที่อาจเริ่มด้วยไอเท็มอย่างรองเท้า แว่นตา และแอคเซสซอรี่ชิ้นเล็ก ก่อนที่ต่อมาจะไต่ระดับขึ้นมาช้อปสินค้าที่ต้องลงทุนเพิ่ม

แต่สิ่งที่ผมว่ายังต้องจับตาดูต่อไปคือพอคอลเล็กชัน CHANEL Métiers d’Art 2026 เข้าร้านในเดือนมิถุนายนปี 2026 กระแสตอบรับของลูกค้าจะเป็นอย่างไร เพราะการที่คอลเล็กชันหนึ่งได้คำชมล้นหลามจากสื่อและคนดูทางโซเชียลมีเดีย นั่นไม่ได้แปลว่ายอดขายจะไปในทิศทางบวกเสมอไป ซึ่งทาง CHANEL ก็คงจะต้องหาหลากหลายวิธีที่จะทำกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิม และกลุ่มใหม่ที่อยากได้ เข้าใจบริบทและดีไซน์ของ Matthieu Blazy โดยเฉพาะในยุคสมัยที่มีตัวเลือกมากมาย

ภาพ: CHANEL

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...