ฉายา "เนื้อไร้กระดูก" แคลเซียมสูงกว่าเนื้อวัว 6 เท่า จ่ายแค่หลักสิบ พอกินทั้งครอบครัว!
ชี้เป้า "เนื้อไร้กระดูก" แคลเซียมสูงกว่าเนื้อวัว 6 เท่า! ราคาหลักสิบ ช่วยกระดูกแข็งแรง คนวัยเก๋าต้องกิน
หมอแนะเอง! กิน "เต้าหู้" วันเว้นวัน แคลเซียมพุ่ง 6 เท่า ดีต่อเข่า-กระดูก ยิ่งแก่ยิ่งต้องกิน
เมื่อพูดถึงการเสริมแคลเซียม หลายคนมักนึกถึงนม ปลาตัวเล็ก หรือซุปกระดูกหมู แต่รู้หรือไม่ว่ามีวัตถุดิบบ้านๆ ราคาเพียงไม่กี่บาท ที่ซ่อนขุมทรัพย์ทางโภชนาการเอาไว้มหาศาล จนได้รับฉายาว่าเป็น "เนื้อสัตว์ไร้กระดูก" ที่คนรักสุขภาพไม่ควรมองข้าม
เรื่องเล่าจากแผงเต้าหู้: เคล็ดลับเข่าดีของคุณลุง
เช้าวันหยุดที่ตลาดสด บรรยากาศหน้าแผงขายเต้าหู้คึกคักเป็นพิเศษ คุณป้าหลิว อดีตครูเกษียณ ทักทายคุณลุงลีเพื่อนบ้านอย่างประหลาดใจว่า "ช่วงนี้ดูคุณพี่เดินเหินคล่องแคล่วขึ้นเยอะเลยนะ คราวก่อนเห็นเดินขึ้นบันไดยังดูตึงๆ ขาอยู่เลย"
คุณลุงลียิ้มกว้างพร้อมตบเบาๆ ที่หัวเข่า "ต้องขอบคุณหมอที่แนะนำวิธีบ้านๆ ให้ผมครับ แกบอกให้กินเจ้าก้อนขาวๆ นี่แหละ วันเว้นวัน ติดต่อกัน 3 เดือน ตอนนี้ขาดีขึ้นเยอะ" บทสนทนานี้ทำเอาหลายคนสงสัยว่า แค่ "เต้าหู้" ธรรมดาๆ จะช่วยเรื่องกระดูกได้จริงหรือ?
ความจริงที่ถูกมองข้าม: แคลเซียมสูงปรี๊ด
ข้อมูลทางโภชนาการเผยความจริงที่น่าตกใจ เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณ 100 กรัมเท่ากัน เต้าหู้แข็งแบบดั้งเดิม มีแคลเซียมสูงถึง 138 มิลลิกรัม ในขณะที่เนื้อวัวมีเพียง 23 มิลลิกรัมเท่านั้น เท่ากับว่าเต้าหู้มีแคลเซียมสูงกว่าเนื้อวัวถึง 6 เท่า!
นอกจากนี้ เต้าหู้ยังอุดมไปด้วยโปรตีนจากพืชที่ย่อยง่าย มีไอโซฟลาโวน (Isoflavone) จากถั่วเหลืองที่ช่วยลดการสลายตัวของกระดูก และมีแมกนีเซียมที่ช่วยนำพาแคลเซียมเข้าสู่กระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเหมาะมากสำหรับผู้สูงอายุที่มักเจอปัญหาดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง
จับคู่กินอย่างไร ให้ได้ประโยชน์สูงสุด?
แม้เต้าหู้จะมีประโยชน์มาก แต่การกินเดี่ยวๆ ร่างกายอาจดูดซึมได้เพียง 60% ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำ "สูตรจับคู่" เพื่อบูสต์ประสิทธิภาพ ดังนี้:
- เต้าหู้ + เห็ด: เพิ่มวิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียม
- เต้าหู้ + ผักใบเขียว: เพิ่มวิตามินเค ช่วยล็อกแคลเซียมไว้ในกระดูก
- เต้าหู้ + สาหร่าย: มีเส้นใยละลายน้ำ ช่วยลดการสูญเสียแคลเซียม
ข้อควรระวัง: สิ่งที่ไม่ควรทานคู่กัน
มีอาหารบางอย่างที่ไม่ควรทานพร้อมเต้าหู้ เช่น ผักโขม (ปวยเล้ง) เพราะมีกรดออกซาลิกสูง อาจขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม (ควรลวกผักก่อนเพื่อลดกรด) และ ชาเข้มข้น เพราะสารแทนนินจะยับยั้งการดูดซึม ควรเว้นระยะห่างการดื่มชาหลังมื้ออาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ผลลัพธ์เมื่อทานต่อเนื่อง 3 เดือน
สำหรับผู้ที่มีปัญหาปวดเมื่อยหรือเป็นตะคริวบ่อย หากปรับพฤติกรรมทานเต้าหู้เป็นประจำ (วันเว้นวัน) ควบคู่กับการตากแดดอ่อนๆ และออกกำลังกายเบาๆ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงดังนี้:
- เดือนที่ 1: การนอนหลับดีขึ้น อาการตะคริวตอนกลางคืนลดลง
- เดือนที่ 2: อาการตึงหลังและขาตอนเช้าเริ่มดีขึ้น เดินขึ้นบันไดสะดวกขึ้น
- เดือนที่ 3: รู้สึกกระฉับกระเฉง อาการมือเท้าเย็นลดน้อยลง
อย่างไรก็ตาม แม้เต้าหู้จะดีแค่ไหน แต่ก็มีฤทธิ์เย็น หากทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืดได้ การทานในปริมาณที่พอเหมาะ "วันเว้นวัน" จึงเป็นทางสายกลางที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพ