โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ภาษีทรัมป์ทำให้เกิด ‘ผู้แพ้’เยอะแยะมากมาย และกระทั่ง‘ผู้ชนะ’ก็ยังมีราคาที่จะต้องจ่ายอยู่ดี

Manager Online

เผยแพร่ 06 ส.ค. เวลา 17.36 น. • MGR Online

(เก็บความจาก https://apnews.com/article/trump-trade-tariffs-deals-winners-losers-25e65f0c984b0cb7d795265aa2976265)

From Laos to Brazil, Trump's tariffs leave a lot of losers. But even the winners will pay a price

By PAUL WISEMAN, AP Economics Writer

02/08/2025

การโจมตีด้วยภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้พ่ายแพ้สูญเสียจำนวนมาก ไล่ตั้งแต่พวกประเทศยากเจนรายเล็กๆ อย่าง ลาว และ แอลจีเรีย ไปจนถึงพวกคู่ค้ารายมั่งคั่งของสหรัฐฯอย่างเช่น แคนาดา และสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศเหล่านี้ในตอนนี้ต่างกำลังเจอกับภาษีศุลกากร ซึ่งก็คือภาษีเรียกเก็บจากพวกผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาส่งออกไปยังสหรัฐฯในอัตราสูงลิ่วเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป

สำหรับพวกซึ่งมีฐานะใกล้เคียงที่สุดกับการเรียกขานว่าเป็นผู้ชนะ อาจจะได้แก่พวกประเทศที่นบนอบยินยอมตามข้อเรียกร้องทั้งหลายของทรัมป์ และจึงหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่อาจจะเจอหนักยิ่งกว่านี้ไปได้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันยังไม่มีความชัดเจนอะไรหรอกว่ามีใครบ้างที่จะสามารถกล่าวอ้างชัยชนะได้ในระยะยาว –แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งนโยบายแบบกีดกันการค้าของทรัมป์มุ่งหวังตั้งใจให้เป็นผู้ที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด

“มองจากหลายๆ แง่มุม พูดได้ว่าทุกๆ คนต่างก็เป็นผู้พ่ายแพ้กันทั้งนั้น” เป็นความเห็นของ แบร์รี แอปเปิลตัน (Barry Appleton) ผู้อำนวยการร่วมของศูนย์กลางเพื่อกฎหมายนานาชาติ (Center for International Law) ของโรงเรียนกฎหมายนิวยอร์ก (New York Law School)

ชั่วเวลาเพียงแค่ 6 เดือนหลังจากเขาหวนกลับคืนมาครองอำนาจในทำเนียบขาวอีกสมัยหนึ่ง ทรัมป์ก็ได้รื้อทิ้งทำลายระเบียบเศรษฐกิจโลกเก่าอย่างมโหฬาร สิ่งที่จากไปก็คือระเบียบซึ่งสร้างขึ้นบนกฎเกณฑ์กติกาที่ตกลงเห็นพ้องต้องกัน สิ่งซึ่งเข้ามาแทนที่คือระบบที่ตัวทรัมป์เองเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์กติกาขึ้นมา โดยใช้พลังอำนาจทางเศรษฐกิจอันใหญ่มหึมาของอเมริกามาลงโทษพวกประเทศซึ่งตั้งท่าไม่เห็นด้วยกับดีลทางการค้าแบบมุ่งผลประโยชน์ของสหรัฐฯด้านเดียว และรีดเค้นเอาผลประโยชน์ต่างๆ อย่างมหึมาจากพวกชาติที่ยินยอมอ่อนข้อ

“ผู้ชนะรายใหญ่ที่สุดคือ ทรัมป์” เป็นความเห็นของ อลัน วูลฟ์ (Alan Wolff) อดีตเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ และรองผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การการค้าโลก (WTO) “เขาวางเดิมพันว่าเขาสามารถทำให้พวกประเทศอื่นๆ เข้ามายังโต๊ะเจรจาโดยอิงอาศัยการคุกคาม และเขาก็ประสบความสำเร็จ—อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ”

ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถสาวย้อนกลับไปถึงสิ่งที่ ทรัมป์ เรียกว่า “วันปลดแอก” (Liberation Day) –2 เมษายน— เมื่อตอนที่ประธานาธิบดีอเมริกันผู้นี้ประกาศจัดเก็บภาษี “ต่างตอบแทน” ("reciprocal'' tax) อัตราลดหลั่นกันโดยสูงสุดอยู่ที่ 50% ทีเดียว กับสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆ ซึ่งสหรัฐฯเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าอยู่ บวกกับภาษี “พื้นฐาน” ("baseline'' tax) อัตรา 10% ซึ่งจะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าแทบทุกราย

เขาประกาศโดยอ้างอิงอำนาจตามกฎหมายสหรัฐฯที่ออกเมื่อปี 1977 ฉบับหนึ่ง ระบุว่า การขาดดุลการค้าคือภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ และดังนั้นจึงสร้างความถูกต้องชอบธรรมให้แก่การจัดเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าอย่างกว้างขวางเช่นนี้ของเขา การอาศัยกฎหมายฉบับนี้เปิดทางให้เขาสามารถข้ามหัวรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติถือเป็นผู้มีอำนาจในเรื่องเกี่ยวกับภาษีต่างๆ รวมทั้งภาษีศุลกากรด้วย –ถึงแม้ว่าทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ยังกำลังกลายเป็นคดีความฟ้องร้องโต้แย้งกันอยู่ในศาล

พวกผู้ชนะยังคงต้องจ่ายภาษีศุลกากรในอัตราสูงขึ้นกว่าตอนก่อนทรัมป์ครองอำนาจอยู่ดี

ทรัมป์ต้องยอมล่าถอยชั่วคราว หลังจากคำประกาศในวันปลดแอกของเขา จุดชนวนให้เกิดการทรุดฮวบในตลาดการเงินต่างๆ รวมทั้งระงับการบังคับใช้ภาษีศุลกากรต่างตอบแทนออกไปเป็นเวลา 90 วัน เพื่อให้โอกาสแก่ประเทศต่างๆ มาเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ

ท้ายที่สุดแล้ว ก็มีบางประเทศทำเช่นนั้น โดยยินยอมสยบให้แก่ข้อเรียกร้องของ ทรัมป์ ด้วยการจ่ายภาษีศุลกากรในอัตราซึ่งถ้าหากเป็นช่วง 4 เดือนก่อนหน้านี้จะต้องรู้สึกกันว่าสูงลิ่วชนิดคาดคิดไม่ถึง เพื่อให้ได้รับอภิสิทธิ์ของการยังคงได้ขายสินค้าให้แก่ตลาดอันกว้างขวางของอเมริกาต่อไปอีก

ทั้งนี้ สหราชอาณาจักรได้ตกลงยอมจ่ายภาษีศุลกากรอัตรา 10% สำหรับสินค้าออกของตนที่ส่งเข้าสู่สหรัฐฯ –สูงขึ้นมากจากอัตรา 1.3% ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะป่าวประกาศทำสงครามการค้ากับทั่วโลกของเขา สหรัฐฯเรียกร้องให้สหราชอาณาจักรต้องยินยอมอ่อนข้อเช่นนี้ ถึงแม้โดยข้อเท็จจริงแล้ววอชิงตันคือฝ่ายที่ได้เปรียบดุลการค้า –ไม่ใช่เสียเปรียบ—กับลอนดอนมาอย่างต่อเนื่องตลอด 19 ปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ

สำหรับสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ยอมรับจ่ายภาษีศุลกากรให้สหรัฐฯที่อัตรา 15% อัตราเช่นนี้สูงขึ้นมามากจากเรตตัวเลขหลักเดียวต่ำๆ ที่พวกเขาต้องจ่ายอยู่ในปีที่แล้ว –ทว่าก็ยังต่ำกว่าอัตราที่ทรัมป์กำลังข่มขู่จะเรียกเก็บหากขืนกล้าแข็งข้อไม่ยินยอม (อียูจะเจออัตรา 30% ส่วนญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 25%)

ประเทศอื่นๆ ซึ่งทำดีลกับทรัมป์โดยตกลงยอมจ่ายภาษีศุลกากรสูงลิ่วยังมีอาทิ ปากีสถาน, เกาหลีใต้, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย, และกัมพูชา เป็นต้น

แม้กระทั่งพวกประเทศที่ได้เห็นภาษีศุลกากรซึ่งพวกตนถูกเรียกเก็บ ได้ลดต่ำลงจากเดือนเมษายนโดยที่ยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงอะไรกับวอชิงตัน ก็ยังคงต้องจ่ายในอัตราสูงขึ้นจากตอนก่อนทรัมป์เข้ารับตำแหน่งอยู่นั่นเอง ตัวอย่างเช่น แองโกลา ซึ่งในที่สุดแล้วถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากร 15% ลดลงจาก 32% ในเดือนเมษายน ทว่าเมื่อปี 2022 นั้น พวกเขาเสียไม่ถึง 1.5% และขณะที่คณะบริหารทรัมป์ตกลงลดภาษีศุลกากรที่เก็บกับไต้หวันลงมาเหลือ 20% จากอัตรา 32% ที่ขู่ไว้ในเดือนเมษายน ผู้คนในดินแดนแห่งนี้ก็ยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่นั่นเอง

“อัตรา 20% ตั้งแต่ตอนต้นเลยไม่ใช่เป้าหมายของเราหรอก เราคาดหวังว่าในการเจรจากันต่อไปในอนาคตเราจะได้เรตภาษีที่เป็นประโยชน์มากขึ้นและสมเหตุสมผลมากขึ้น” ไล่ ชิงเต๋อ ประธานาธิบดีไต้หวันบอกกับพวกผู้สื่อข่าวในนครไทเปเมื่อวันศุกร์ (2 ส.ค.)

ผวาคำทำนายมังงะ'วันสิ้นโลก'หลังเกิดแผ่นดินไหว8.8 ผู้คนเริ่มเชื่ออาจกลายเป็นความจริง

ทรัมป์ยังตกลงลดภาษีศุลกากรให้แก่ เลโซโท ราชอาณาจักรเล็กๆ ทางตอนใต้ของแอฟริกา มาอยู่ที่ 15% จากระดับ 50% ที่เขาประกาสเอาไว้ในเดือนเมษายน ทว่าความเสียหายต่างๆ ก็อาจจะเกิดขึ้นกับที่นั่นไปเรียบร้อยแล้ว

หวดใส่บราซิล ฟาดกระหน่ำแคนาดา และซัดสวิตเซอร์แลนด์จนหมอบ

สำหรับพวกประเทศที่ไม่ยอมอ่อนข้อ –ตลอดจนพวกซึ่งด้วยเหตุประการอื่นใดก็ตามที ทำให้ทรัมป์รู้สึกโกรธกริ้ว— ต่างถูกเล่นงานอย่างหนักข้อยิ่งกว่าคนอื่นๆ

แม้กระทั่งประเทศที่ยากจนบบางรายก็ยังไม่ได้รับการละเว้น ลาวนั้นทำผลผลิตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยต่อปีต่อประชากรแต่ละคนได้เพียง 2,100 ดอลลาร์ หรือ แอลจีเซีย ที่ได้แค่ 5,600 ดอลลาร์ –เปรียบเทียบกับสหรัฐฯซึ่งอยู่ที่ 75,000 ดอลลาร์ กระนั้นก็ตาม ลาวถูกทรัมป์สั่งรีดภาษีศุลกากรในอัตรา 40% ส่วนแอลจีเรียเจอเข้าไป 30%

ทรัมป์ยังเล่นงาน บราซิล ด้วยการประกาศจัดเก็บภาษีกับสินค้านำเข้าของประเทศนี้ในระดับ 50% โดยเหตุผลข้อใหญ่ก็คือเขาไม่ชอบวิธีการที่แดนแซมบ้ากำลังปฏิบัติต่อ ฌาอีร์ โบลโซนาโร ประธานาธิบดีบราซิลคนที่แล้วซึ่งเป็นเพื่อนมิตรที่ดีของเขา โดย โบลโซนาโร ถูกตำรวจสอบสวนและฟ้องร้องต่อศาลในข้อหาพยายามก่อรัฐประหารเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองเอาไว้ภายหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2022 ออกมาว่าเขาประสบความพ่ายแพ้ ทั้งนี้สำหรับทรัมป์แล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าเขากำลังใช้มาตรการด้านภาษีเช่นนี้มาเล่นงานบราซิล ประเทศซึ่งสหรัฐฯส่งสินค้าออกไปขายสูงกว่าที่สั่งสินค้าเข้ามาอยู่ทุกๆ ปีตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา

สำหรับการที่ ทรัมป์ ตัดสินใจจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราโหดถึง 35% กับแคนาดา ชาติเพื่อนบ้านซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯมาอย่างยาวนาน ส่วนหนึ่งก็ด้วยความมุ่งหมายที่จะข่มขู่แดนใบเมเปิล สำหรับการที่ตั้งท่าจะยอมรับฐานะความเป็นรัฐของปาเลสไตน์ ทั้งนี้ทรัมปืคือผู้สนับสนุนอย่างเหนียวแน่นมั่นคงคนหนึ่งของ เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนปัจจุบัน

ทางด้านสวิตเซอร์แลนด์ก็ถูกหวดใส่ด้วยการถูกจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าอัตรา 39% -สูงขึ้นไปอีกด้วยซ้ำจากอัตรา 31% ซึ่งทรัมป์ประกาศเอาไว้ทีแรกเมื่อวันที่ 2 เมษายน

“ทางสวิสตอนนี้อาจจะรู้สึกว่า พวกเขาน่าจะแสดงตัวเข้าร่วมเป็นพวกเดียวกับวอชิงตัน” ในการเจรจาทำข้อตกลง นี่คือความเห็นของ วูลฟ์ ซึ่งเวลานี้เป็นนักวิจัยอาวุโสอย่ที่สถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (Peterson Institute for International Economics) “พวกเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่มีความสบายใจเลย”

โชคชะตาอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกผันได้ ถ้าหากมาตรการภาษีศุลกากรเหล่านี้ของทรัมป์ถูกตัดสินลงเอยกันในศาล ขณะนี้มีธุรกิจอเมริกัน 5 แห่ง และรัฐต่างๆ ในสหรัฐฯ 12 รัฐ กำลังยื่นฟ้องประธานาธิบดีผู้นี้ โดยโต้แย้งว่าภาษีศุลกากรวันปลดแอกของเขา เป็นการใช้อำนาจเกินเลยไปจากที่ประธานาธิบดีได้รับตามกฎหมายฉบับปี 1977 ซึ่งเขาอ้างอิง

เมื่อเดือนพฤษภาคม ศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) ที่เป็นศาลพิจารณาคดีเฉพาะด้านซึ่งตั้งอยู่ในนิวยอร์ก ได้ตัดสินเห็นด้วยกับคำร้องของฝ่ายโจทก์และพิพากษาให้ระงับมาตรการนี้ ถึงแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลยังคงได้รับอนุญาตให้ดำเนินการจัดเก็บต่อไปก่อนในขณะที่พวกเขายื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการศาลยุติธรรม โดยคาดหมายกันว่าน่าจะยุติลงในขั้นการพิจารณาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อวันพฤหัสบดี (31 ก.ค.) ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯแสดงท่าทีสงสัยข้องใจเกี่ยวกับเหตุผลความชอบธรรมของทรัมป์ในการประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรนี้

“ถ้าหาก (มาตรการภาษีศุลกากรนี้) ถูกตีตกไป บราซิลก็อาจจะกลายเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่ผู้แพ้” แอปเปิลตัน บอก

ผู้บริโภคชาวอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับเป้สะพายหลังและวิดีโอเกม

ทรัมป์พยายามวาดภาพให้เห็นไปว่าภาษีศุลกากรของเขาคือภาษีที่จัดเก็บจากพวกประเทศต่างๆ นอกสหรัฐฯ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันคือภาษีที่จ่ายโดยพวกบริษัทนำเข้าในสหรัฐฯ ผู้ซึ่งย่อมพยายามที่ผ่องถ่ายต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนี้ไปยังลูกค้าของพวกเขาด้วยการขึ้นราคาสินค้าให้สูงขึ้น เป็นความจริงเช่นกันว่า ภาษีศุลกากรเหล่านี้อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ประเทศอื่นๆ เหมือนกัน ด้วยการบังคับให้พวกผู้ส่งออกของประเทศเหล่านี้ต้องยอมลดราคาและเสียสละกำไรลงมา ไม่เช่นนี้ก็เสี่ยงที่จะต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ

ทว่าทีมนักเศรษฐศาสตร์ของ โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) บริษัทวาณิชธนกิจอเมริกันยักษ์ใหญ่ ประมาณการเอาไว้ว่า ที่ผ่านมาพวกผู้ส่งออกในต่างแดนแบกรับต้นทุนซึ่งสูงขึ้นจากภาษีศุลกากรเอาไว้เพียงแค่หนึ่งในห้า ขณะที่ชาวอเมริกันและพวกธุรกิจสหรัฐฯคือผู้ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายราคาซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่

เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็น วอลมาร์ต, พร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิล, ฟอร์ด, เบสต์บาย, อาดิดาส, ไนกี้, แมทเทล, หรือ สแตนลีย์ แบล็ก แอนด์ เดคเคอร์ ต่างปรับราคาขึ้นไปแล้วทั้งนั้นสืบเนื่องจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯ

“นี่คือภาษีที่จัดเก็บจากการบริโภค ดังนั้นมันจึงส่งผลกระทบไปถึงพวกที่มีรายได้น้อยอย่างไม่ได้สัดส่วนที่เป็นธรรมไปด้วย” แอปเปิลตัน กล่าว “รองเท้าผ้าใบ, เป้สะพายหลัง … พวกข้าวของเครื่องใช้ของคุณทั้งหลายต่างกำลังขึ้นราคา ทีวีและเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ของคุณก็กำลังขึ้นราคาเหมือนกัน รวมทั้งพวกอุปกรณ์วิดีโอเกม, เครื่องคอนโซลเล่นเกมของคุณ ก็กำลังขึ้นราคา เนื่องจากว่าข้าวของเหล่านี้ไม่มีอะไรเลยที่ เมดอินยูเอสเอ”

สงครามการค้าของ ทรัมป์ ได้ผลักดันให้อัตราภาษีศุลกากรสหรัฐฯโดยเฉลี่ยซึ่งเคยอยู่ที่ 2.5% ตอนเริ่มต้นปี 2025 นี้ ขึ้นไปอยู่ที่ 18.3% แล้วในตอนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1934 เป็นต้นมา ทั้งนี้ตามผลการศึกษาวิจัยของห้องแลปงบประมาณแห่งมหาวิทยาลัยเยล (Budget Lab at Yale University) และนี่หมายความว่าแต่ละครัวเรือนในสหรัฐฯจะต้องจ่ายเงินสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 2,400 ดอลลาร์

“หนึ่งในผู้แพ้รายใหญ่ก็คือผู้บริโภคสหรัฐฯ” วูลฟ์ สรุป

website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...