NEO ครึ่งแรกปีทำรายได้ 4.9 พันลบ.กำไร 537 ลบ. พร้อมมูฟเข้าตลาดสูงวัย
NEO ปักธง 5 ปีขยายตลาดต่างประเทศใช้แบรนด์ “ดีนี่” เปิดตลาดใหม่เอเชียใต้-ตะวันออกกลาง เจาะsegment สูงวัย-pet friendly- พรีเมียม เพิ่มรายได้ต่างประเทศ 15%
[caption id="attachment_124367" align="aligncenter" width="1024"]
นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)[/caption]
นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ หรือ NEO) ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจากรายงานของ“ยูโรมอนิเตอร์” พบว่าในปีนี้มีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมาแต่คาดว่าในปี 2568 จะกระเตื้องขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายบุคคลเติบโตเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม “นีโอ คอร์ปอเรท” มีการเติบโตมากกว่าตลาดมาตลอด และจะยังสามารถเมนเทนการเติบโตต่อเนื่องไปอีก 3 ปีข้างหน้า เนื่องจากมีสินค้าหลายขนาดทำให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น
ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมาบริษัทสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดได้มากขึ้นทั้ง ผลิตภัณฑ์ซักผ้า เติบโต 31.0% ขณะที่ตลาดเติบโต 19.5% ผลิตภัณฑ์โรลออน เติบโต 35.7% ส่วนตลาดเติบโต 12.9% และผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก เติบโต 10.4% ตลาดเติบโต 7.6% โดยมีสัดส่วนรายได้แบ่ง 3 กลุ่มเฮาส์โฮลด์ 40% เพอซัวนัลแคร์ 26% เบบี้แอนด์คิดส์ 34%
ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2567 สร้างประวัติศาสตร์รายได้จากการขาย ทะลุ 2,494 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 269 ล้านบาท เติบโต 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2567) มีรายได้จากการขายรวม 4,966 ล้านบาท เติบโต 9% และกำไรสุทธิส่วนของบริษัท 537 ล้านบาท เติบโต 60% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเซกเมนต์ที่เติบมากที่สุดเพอร์ซัลนัลแคร์18.2% จากปีที่แล้วในทุกแบรนด์ และเบบี้แอนด์คิดส์ 13.1%
เพื่อการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ วางแผนยกระดับกระบวนการผลิตและขยายกำลังการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ (กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 400,000 ตันต่อปี จากปัจจุบันประมาณ 230,000 ตันต่อปี
ควบคู่ไปกับพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกไลฟ์สไตล์และทุกช่วงวัย จากพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันใส่ใจดูแลตัวเองและให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า จึงมีแนวโน้มเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะทางที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสร้างความพึงพอใจได้อย่างตรงจุด ยินดีจ่ายแพงขึ้นสำหรับสินค้าที่คุ้มค่ากว่า
NEO จึงวางกลยุทธ์ Innovation-led Premiumization ที่มีนวัตกรรมเป็นตัวนำ ทั้งนวัตกรรมการช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นยาวนานพิเศษ นวัตกรรมการกำจัดกลิ่นเฉพาะตัวของผู้สูงวัย (Silver Age) และการนำเสนอผลิตภัณฑ์แบบ Pet Friendly สำหรับผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงในที่อยู่อาศัย เป็นต้น โดยวางเป้าหมายภายใน 3 ปี (2567-2569) สัดส่วนรายได้ของผลิตภัณฑ์พรีเมียมแมส (Premium Mass) ของบริษัทฯ เพิ่มเป็น 10% ของพอร์ตฟอลิโอ
“จากแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังประกอบกับการที่ล๊อนซ์สินค้าใหม่ออกไปในช่วงไตรมาส 1 กว่า 23 sku ไตรมาส 2 กว่า62sku ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพรีเมียมแมส ซึ่งคาดว่ายอดขายจะเข้ามาในช่วงไตรมาส 3และ 4 ซึ่งจะเข้ามาช่วยท็อปอัพยอดขายจากการเติบโตปกติและทำให้เติบโตdouble digitsได้”
อย่างไรก็ตามมีการคาดการณ์ว่าระหว่างปี 2566-2568 ตลาดผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนจะเติบโตเฉลี่ย 9%รวมไปถึงมองโอกาสการเติบโตกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล ในตลาดเอเชียใต้ ที่คาดการณ์เติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 8.0% ส่วนตะวันออกกลาง และแอฟริกา เติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 15.1% ในช่วงปี 2566 – 2568
ทั้งนี้นีโอตั้งเป้าจะขยายฐานประเทศใหม่เพิ่มจาก 16 ประเทศในปี 2566 เป็นมากกว่า 28 ประเทศในปี 2571 และคาดการณ์สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณเพิ่มจาก 10% เป็นมากกว่า 15% ปี 2571 ซึ่งแผนธุรกิจ 5 ปี (2567-2571) ในส่วนของตลาดต่างประเทศจะใช้สินค้าอุปโภคทั้งหมด 8 แบรนด์ จาก 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เป็นสินค้านำร่องภายใต้กลยุทธ์ dual tracks ได้แก่ 1.ขยายการเติบโตในประเทศเป้าหมายเดิม ด้วยการนำเสนอสินค้าประเภทใหม่ จากทั้งแบรนด์เดิม รวมทั้งแบรนด์ที่ยังไม่ได้ทำการตลาด และ 2.มุ่งขยายไปยังประเทศที่มีศักยภาพเพิ่มเติม
รวมถึงการขยายไปยัง segment ใหม่ที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตสูง เช่น segment ผู้สูงวัยที่บริษัทฯ เป็นเจ้าแรกในตลาด พร้อมกับส่งมอบนวัตกรรมที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคพร้อมชูกลยุทธ์ Innovation-led Premiumization ที่มีนวัตกรรมเป็นตัวนำในการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ รวมถึงการบุกขยายพื้นที่การขายให้ครอบคลุมมากที่สุด
“อย่างไรก็ตามยอดขายแบรนด์สมาร์ทมียอดขายลดลงเล็กน้อยเพราะตลาดใหญ่อย่างเมียนมาร์กำลังมีปัญหาภายในทำให้ส่งออกค่อนข้างลำบาก ขณะที่ดิสซิบิวชั่นทางเวียดนามที่มีปัญหาเล็กน้อยเราได้ปรับแผนใหม่โฟกัสโมเดิร์นเทรดและเทรดดิชั่นนอลเทรดซึ่งน่าจะทำให้ยอดขายต่างประเทศกลับมาโตดีขึ้น
สำหรับตลาดใหม่ที่นีโอตั้งเป้าจะขยายไปคือเอเชียใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งตอนนี้เราเริ่มเจาะตลาดเข้าไปได้บ้างแล้วคือกาตาร์ บาห์เรน ปากีสถานและอัฟกานิสถาน โดยในเอเชียใต้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องบางประเทศอาจมีเหตุการณ์ไม่สงบทำให้ฉุดตัวเลขของเอเชียใต้ลง ขณะที่ตะวันออกกลางก็เติบโต double digits เช่นกันนอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดตลาดเพิ่มอีก 2 ประเทศในตะวันออกกลาง”