โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

“6 สัญญาณอันตราย” มะเร็งผิวหนัง

สวพ.FM91

อัพเดต 11 ธ.ค. 2561 เวลา 04.39 น. • เผยแพร่ 11 ธ.ค. 2561 เวลา 04.24 น.

 

สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ เตือน “6 สัญญาณอันตราย” มะเร็งผิวหนัง ประชาชนหมั่นสังเกตและตระหนักถึงสัญญาณเสี่ยงที่อาจเป็นมะเร็ง เน้นพบไว รักษาได้ ปลอดภัยแน่นอน
นายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนังนั้น ๆ อย่างไรก็ตามมะเร็งผิวหนังบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบในระยะเริ่มแรกจะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้ป่วยอาจไม่ต้องเสี่ยงกับการรักษามะเร็ง ในรูปแบบที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย ดังนั้นการสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนังของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้ห่างไกลจากโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็งผิวหนัง
แพทย์หญิงมิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่ามะเร็งผิวหนังอาจจะไม่ร้ายแรงเหมือนมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณอื่น แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะมีโอกาสกระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ทำให้การรักษายุ่งยากซับซ้อนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต สาเหตุของมะเร็งผิวหนังเกิดได้จากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในผิวหนังกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้แก่ แสงแดด การได้รับสารเคมีบางชนิด แผลเรื้อรัง และโรคทางพันธุกรรมบางชนิด ทั้งนี้การวินิจฉัยมะเร็งผิวหนังต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ในบริเวณที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนังโดยพยาธิแพทย์ แต่เราสามารถค้นหามะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้นด้วยการสังเกต 6 สัญญาณอันตราย คือ (1.) มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเป็นก้อนนูนที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วหรือขยายขนาดอย่างรวดเร็ว (2.) ก้อนที่ผิวหนังมีแผลเกิดขึ้น หรือมีเลือดออกได้ง่าย
(3.) แผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย หรือมีแผลเกิดขึ้นบริเวณที่เป็นแผลเป็น หรือบริเวณแผลไฟไหม้มาก่อน (4.) รอยโรคบริเวณแผลเดิมมีสีดำหรือน้ำตาลที่ขอบเขตไม่ชัดเจน และมีแผลเกิดขึ้น (5.) ไฝมีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ รูปร่าง 
สีที่เปลี่ยนแปลงไปอาจเป็นสีขาว หรือสีนํ้าตาล ดำไม่สม่ำเสมอ มีแผลเกิดขึ้น หรือมีเลือดออกง่าย โดยเฉพาะบริเวณมือและเท้ารวมทั้งบริเวณเล็บ และ (6.) พบผื่นเรื้อรังที่มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเนื้อนูนขึ้นมา

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...