โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

'ดีอี' เผย 4 เทรนด์สแกมเมอร์ปี 2569 ชี้สถิติ 'เฟซบุ๊ก' แชมป์ช่องทางที่ถูกใช้ในการหลอก

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นางสาวสุชาดา ซาง แทนทรัพย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และโฆษกกระทรวงดีอี เปิดเผยว่า ตามนโยบายการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ของนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อให้รู้เท่าทันกลโกง ของมิจฉาชีพ และลดความเสียหายจากการถูกหลอกลวงในโลกดิจิทัลให้ได้มากที่สุด

จากข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) หรือ ศูนย์ AOC 1441 พบว่า กลุ่มผู้เสียหายจากสแกมเมอร์มากที่สุดคือวัยทำงาน อายุระหว่าง 20-49 ปี มีจำนวนคดีสูงถึง 223,300 เคส รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 50-64 ปี จำนวน 53,265 เคส สะท้อนให้เห็นว่าภัยออนไลน์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยเทคโนโลยีอีกต่อไป

สำหรับแนวโน้มรูปแบบการหลอกลวงที่พบมากและคาดว่าจะยังคงระบาดต่อเนื่องในปี 2569 มี 4 รูปแบบหลัก ได้แก่

1. ส่งข้อความ SMS หรือ LINE ปลอม แนบลิงก์เร่งรัดชำระหนี้หรือค่าปรับ

มิจฉาชีพมักแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค เช่น การประปา การไฟฟ้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ พร้อมแนบลิงก์ให้กดดำเนินการเร่งด่วน ทั้งที่ในความเป็นจริง หน่วยงานภาครัฐไม่มีนโยบายส่งข้อความหรืออีเมลแนบลิงก์ให้ชำระเงิน กระทรวงดีอีย้ำเตือนประชาชนอย่ากดลิงก์โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจถูกติดตั้งแอปพลิเคชันดูดข้อมูลส่วนบุคคล เลขบัญชีธนาคาร หรือถูกโอนเงินออกจากบัญชีโดยไม่รู้ตัว

2. หลอกลวงด้วยเสียงหรือวิดีโอปลอมผ่านเทคโนโลยี AI (Deepfake Call)

รูปแบบนี้เป็นการยกระดับกลโกง โดยใช้ AI ปลอมเสียงญาติหรือคนใกล้ชิด หลอกยืมเงินหรือขอความช่วยเหลือเร่งด่วน รวมถึงการสร้างวิดีโอปลอมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ข่มขู่ว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับบัญชีม้า หรือคดีฟอกเงิน ก่อนบังคับให้โอนเงินเพื่อ “เคลียร์คดี” ซึ่งเทคโนโลยี AI สามารถปลอมได้ใกล้เคียงความจริงอย่างมาก

กระทรวงดีอีแนะนำให้ประชาชนตั้งสติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานทางการที่เชื่อถือได้ และยึดหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน”

3. หลอกลงทุนคริปโตหรือหุ้นดิจิทัล

มิจฉาชีพมักอ้างชื่อหน่วยงานหรือแพลตฟอร์มการลงทุนที่ดูน่าเชื่อถือ เสนอผลตอบแทนสูงเกินจริง ช่วงแรกอาจมีผลตอบแทนเพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนชักชวนให้ลงทุนเพิ่ม และสุดท้ายยักยอกเงินทั้งหมด โดยช่องทางที่ใช้หลอกลวงส่วนใหญ่อยู่บนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook และ TikTok ซึ่งเป็นบัญชีปลอม ไม่ใช่ของหน่วยงานทางการ

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนควรติดตามข้อมูลจากช่องทางอย่างเป็นทางการ และตรวจสอบใบอนุญาตหรือความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการทุกครั้ง

4. โปรไฟล์ปลอมในโซเชียล หลอกหาคู่ ร้านค้าปลอม และโรงแรมปลอม

ในกรณี Romance Scam มิจฉาชีพมักใช้รูปบุคคลหน้าตาดี สร้างความสนิทสนมก่อนหลอกให้โอนเงิน ส่วนการขายสินค้าออนไลน์หรือจองที่พัก มักปลอมบัญชีเลียนแบบร้านค้าหรือโรงแรมจริง ประชาชนควรตรวจสอบข้อมูล รีวิว และช่องทางติดต่ออย่างรอบคอบ ก่อนโอนเงินหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคล

ทั้งนี้ สถิติช่องทางที่ถูกใช้ในการหลอกลวงมากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่ Facebook จำนวน 126,672 เคส มูลค่าความเสียหายกว่า 2,810 ล้านบาท รองลงมา Call Center 32,000 เคส มูลค่าความเสียหาย 2,660 ล้านบาท เว็บไซต์ 10,000 เคส มูลค่าความเสียหาย 1,710 ล้านบาท และ TikTok 8,703 เคส มูลค่าความเสียหาย 534 ล้านบาท

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...