โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ไทย-กัมพูชาบนเส้นปะทะใหม่ ยุทธการเขย่าความมั่นคงภูมิภาค

PostToday

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว

ความรุนแรงปะทะที่แปรสนามชายแดนเป็นบททดสอบไทย

ย่านภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อนกลายเป็นจุดที่เสียงปืนสะท้อนหนักที่สุดในรอบหลายปี ข้อมูลเชิงลึกของ ศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ชี้ว่าความรุนแรงในรอบนี้ “หนักกว่าเดือนกรกฎาคมและอาจเกินปี 2554” นี่ไม่ใช่เพียงเหตุปะทะ แต่คือสนามทดสอบยุทธการของกองทัพไทยทั้งหมด ตั้งแต่ระบบเตือนภัย ความพร้อมกำลังพล จนถึงยุทธวิธีสมัยใหม่ที่ต้องรับมือแบบทันทีทันใด ขณะที่ทุกตารางนิ้วบนสันเขามีราคาทางยุทธศาสตร์สูงกว่าที่สาธารณชนอาจมองเห็น

จุดยุทธศาสตร์อย่างเนิน 350 ตาควาย ช่องอานม้า และช่องบก ถูกนิยามว่าเป็น “พิกัดชี้ชะตา” เพราะเป็นฐานควบคุมพื้นที่โดยรอบและทางขึ้นสู่โบราณสถานสำคัญ การยึดคืนพื้นที่เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเชิงสัญลักษณ์ แต่คือการปิดช่องโหว่ของเขตแดน ลดความเสี่ยงการปะทุซ้ำ และสร้างเงื่อนไขต่อรองทางการทูต กองทัพไทยบางส่วนยอมรับตรงไปตรงมาว่า “สถานการณ์หนักใจ” แต่ภารกิจยังต้องเดินหน้าแม้ความเสี่ยงสูงขึ้นทุกขณะ

การปะทะที่ยืดเยื้อบีบให้ไทยต้องเร่งปรับยุทธศาสตร์ใช้กำลังแบบผสมผสาน ตั้งแต่กำลังภาคพื้นดิน ปืนใหญ่ ไปจนถึงอากาศยานสมรรถนะสูง การตัดสินใจเชิงยุทธการต้องคำนึงทั้งการรักษาชีวิตกำลังพล ความแม่นยำในการยึดคืนพื้นที่ และความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ ทุกการขยับบนสนามรบ จึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับการคำนวณทางการเมืองและความมั่นคงระดับชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ภาวะผู้นำยามวิกฤตและสงครามข้อมูลที่เปลี่ยนสมการรบ

ขณะที่กำลังพลเผชิญแรงยิงจากแนวรบ เส้นทางข้อมูลข่าวสารก็กลายเป็นแนวรบคู่ขนานที่สำคัญไม่แพ้กัน การโพสต์ภาษาอังกฤษของนายกรัฐมนตรีว่า “Thailand Direction Status no sis fire” กลายเป็นจุดสนใจทันที เพราะในทางยุทธศาสตร์ ศ.ดร.ปณิธานมองว่านี่คือ “การสื่อสารยามวิกฤตที่ชี้ท่าทีรัฐอย่างเป็นทางการ” และสะท้อนการประกาศจุดยืนว่าไทยยังไม่ยอมถอยจากภารกิจด้านความมั่นคง ไม่ว่าจะต่อคู่ขัดแย้งหรือเวทีนานาชาติ

ภาวะผู้นำด้านการสื่อสารในช่วงนี้มีความหมายมากกว่าการอัปเดตสถานการณ์ มันคือการส่งสัญญาณข้ามพรมแดนไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ตั้งแต่รัฐบาลกัมพูชา ผู้นำฮุนเซน องค์กรระหว่างประเทศ จนถึงมหาอำนาจที่ติดตามสถานการณ์ วิกฤตลักษณะนี้ต้องการ “เสียงเดียวชัดเจน” ของผู้บริหารสูงสุด เพื่อกำหนดกรอบการตีความ ลดแรงบิดเบือน และเพิ่มความน่าเชื่อถือว่าไทยกำลังรักษากติกานานาชาติแต่ก็พร้อมตอบโต้เพื่อปกป้องชีวิตประชาชน

การสื่อสารจึงถูกจัดวางบนโต๊ะเดียวกับยุทธศาสตร์ทางทหาร เพราะผลของมันสามารถส่งแรงสะเทือนระดับเดียวกับการตัดสินใจเชิงยุทธการ ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไทยต้องสื่อสารทั้งสามมิติพร้อมกัน ต่อประชาชนในประเทศ ต่อสังคมโลก และต่อคู่ขัดแย้ง เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศข้อมูลที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถช่วงชิงนำไปใช้สร้างข้อกล่าวหาหรือภาพลบต่อการปฏิบัติการของไทยได้

สหรัฐฯจับตาไทย–กัมพูชาในฐานะความขัดแย้งอันดับหนึ่ง

ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาไม่ได้จำกัดอยู่ที่แนวสันเขาอีกต่อไป เมื่อสหรัฐฯ ระบุชื่อสถานการณ์นี้ไว้ใน National Security Strategy ฉบับล่าสุด และจัดให้เป็น “หนึ่งในแปดความขัดแย้งสำคัญของโลก” แถมอยู่ในลำดับที่ 1 เหนือกว่าความตึงเครียดอิสราเอล–อิหร่านหรือกาซา การถูกจับตาเช่นนี้สะท้อนว่าเหตุปะทะอาจกลายเป็นชนวนที่ส่งผลต่อเสถียรภาพภูมิภาค และความสมดุลอำนาจในอินโด–แปซิฟิกที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญมากที่สุด

ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท คือการใช้อาวุธสมรรถนะสูงซึ่งอยู่ในโครงสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างไทย–สหรัฐฯ ตามธรรมชาติ เมื่อไทยจำเป็นต้องใช้เครื่องบินรบหรือระบบยุทโธปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ การประสานงาน การแจ้งเตือน และการขออนุญาตระดับยุทธศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดควบคู่ การรับรู้ของสหรัฐฯ ต่อสถานการณ์จึงไม่ใช่เพียง “ข้อมูล” แต่มีผลต่อการกำหนดเพดานปฏิบัติการของไทยในบางมิติด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง การที่กัมพูชาปรับตัวเข้าสู่สงครามอสมมาตร ใช้โดรนราคาต่ำ ปราสาทเป็นฐานยิง และอาวุธแบบกระจายตัว กลายเป็นแรงกดดันให้ไทยต้องยกระดับยุทธศาสตร์ตอบโต้โดยไม่กระทบภาพลักษณ์ต่อมรดกโลก การทำสงครามใกล้พื้นที่วัฒนธรรมยิ่งดึงความสนใจของโลก และเพิ่มความจำเป็นที่ไทยต้องชี้แจงต่อผู้สังเกตการณ์นานาชาติ เพื่อรักษาความชอบธรรมของการปฏิบัติการและผลประโยชน์ทางความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

ที่มา : รายการข่าวค้นคนข่าว (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...