ปิดจบ “ตระกูลฮุน-เขมร” ภัยคุกคาม เปิดแนวรบ(ชายแดน) ลึกได้แค่ไหน
กัมพูชาเปิดแนวรบปะทะไทย เต็มรูปแบบในพื้นที่อีสานใต้และตะวันออก 7 จังหวัด อุบลราชธานี สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ สระแก้ว จันทบุรี และ ตราด ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่วันที่ 9 ธ.ค.2568 หลังเข้ามาหยั่งเชิงว่า กองทัพบกไทยจะเอาจริงหรือไม่ ตั้งแต่บ่ายวันที่ 7 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยเปิดฉากโจมตีก่อนเป็นระลอกๆ ทั้งอาวุธเบา อาวุธหนัก ก่อนจะนำร่องใช้กระสุนปืนใหญ่ ปืนค.และยิงปูพรมด้วยจรวดหลายลำกล้อง หรือ BM-21 (Boyevaya Mashina) เข้ามาในพื้นที่ตอนใน คือ “ฐานอนุพงศ์” และช่องบก ก่อนปรับโหมดรบเดือดอีกครั้งช่วงฟ้าสางที่บริเวณซำแต , ภูผี, ช่องตาเฒ่าและปราสาทตาควาย
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ “ฮุน เซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้องออกมาบัญชาการรบเอง คือ การที่ “เฉิน จื้อ” และ “ก๊ก อาน” ที่ปรึกษาและคนสนิทของ “ตระกูลฮุน” ถูกคณะกรรมการธุรกรรมทางการเงิน(ปปง.) ยึดอายัดทรัพย์เกือบหมื่นล้านบาท ขณะที่ “ยิม เลียก” และ “เบน สมธิ” ก็ถูกออกหมายจับและมีการยึดทรัพย์ของเครือข่ายคนกลุ่มนี้ในข้อหาสแกมอร์ อาชญากรข้ามชาติ ย่อมส่งผลสะเทือนต่อเศรษฐกิจของครอบครัวและเครือข่ายของฮุน เซน ไม่น้อย เพียง 7 วันหลังถูกปปง.ไทยสั่งตัดท่อน้ำเลี้ยง เขมรก็ส่งกำลังพลเข้ามาตลอดแนวรบ
สัญญาณปะทะ เริ่มจากลูกชายของฮุน เซน คือ “ฮุน มานี” รองนายกฯกัมพูชา เดินทางยังมามอบสิ่งของให้ทหารเขมรที่บริเวณชายแดน จ.พระวิหาร เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2568 พร้อมๆ กับ พล.อ.ฮิง บุนเฮียง ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ BHQ และ พล.อ.สะรัย ดึก รอง ผบ.ทบ. และ ผบ.กองพล 3 ถือเป็นครั้งแรกที่ 2 มือขวาของฮุน เซน ปรากฏตัวต่อสาธารณชน หลังมีข่าวเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์รบไทย-เขมรรอบแรก
มีข้อมูลเปิดเผยว่า พล.อ.ฮิง บุนเฮียง ยังคงกบดานอยู่แนวหน้าตามคำสั่งของฮุน เซน ไม่ได้กลับพนมเปญ ส่วน พล.อ.สะรัย ดึก ได้รับบาดเจ็บ ถูกส่งไปรักษาตัวที่เวียดนาม เพิ่งกลับมาประจำการที่ จ.พระวิหาร
ท่ามกลาง สถานการณ์การคาใจ “รบ” ติดพันระหว่างไทย-เขมร เมื่อปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ยังไม่สะเด็ดน้ำ แม้ “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และ “อัลวาร์ อิบราฮิม”นายก ฯ มาเลย์ จะพยายามเป็น “กาวใจ” สร้างสันติภาพไทย-เขมร โดยใช้มาตรการทางภาษีมากกดดันไทยก็ตาม แต่ความสงบและสันติภาพตามแนวชายแดนไม่มีอยู่จริง หากนับจากมีการเจรจาหยุดยิงตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. ทหารเขมรยังคงลักลอบเข้ามาวางระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 จนทำให้ทหารไทยเสียขาที่ 7 ตามด้วยเสียงเรียกร้อง “ให้มันจบที่รุ่นเรา”
รายงานจากหน่วยความมั่นคงชี้ว่า การสู้รบไทย-เขมร จะจบในรุ่นเราหรือไม่ ยังต้องดูกันยาว ๆ แต่ที่แน่ ๆ ขณะนี้ 4 เหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจตระเวนชายแดน ได้แยกย้ายปฏิบัติภารกิจในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเตรียมความพร้อมมาโดยตลอด ทั้งพื้นที่พิพาทที่มีการอ้างสิทธิ์ และพื้นที่ที่กัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ทางฝั่งกัมพูชาก็ไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือข้อตกลงระหว่างการเจรจาหยุดยิงของไทยเลย ไม่ว่าจะมีการทำหนังสือประท้วง หรือการทักท้วงด้วยวาจา ไทยจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก และพยายามไม่ให้ส่งกระทบต่อชีวิตพลเรือน
โดยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 มีการเปิดพื้นที่นำร่องรบหนัก มาอย่างต่อเนื่อง และทางฝั่งไทยก็ต้องยิงตอบโต้และเข้าไปทำลายคลังอาวุธและจุดที่ตั้งทางการทหารของฝ่ายตรงข้าม เช่น บ่อนกาสิโน เป็นเหตุให้เขมรโกรธแค้น เพราะอาวุธถูกทำลายและใช้โดรนพลีชีพ หรือ กามิกาเซ เข้ามาในหลายจุด ทั้งที่ช่องอานม้า เนิน 561พื้นที่พญาสัตบรรณ ปราสาทตาควาย ภูมะเขือและอีกหลายจุด ถือว่า ผ่านมา กัมพูชามีการละเมิดปฏิญญาสันติภาพมาแล้วหลายครั้ง จึงทำให้การรบครั้งนี้เรามีความชอบธรรมที่จะตอบโต้อย่างสมเหตุสมผล
ไม่ต่างจากพื้นที่ในความรับผิดชอบชองกองทัพที่ 1 แม้จะมีความพยายามเจรจา ในการปักหมุดเขตแดนชั่วคราวในพื้นที่อ้างสิทธิ แต่ก็ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติ ดังนั้นเมื่อมีการเปิดศึกตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จึงจำเป็นต้องใช้โอกาสเอาคืนในพื้นที่ที่ถูกเขมรรุกล้ำเข้ามา ทั้งที่จ.สระแก้ว รวมทั้งชายแดนด้านจ.ตราด จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดขอบของกองทัพเรือ โดยเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. หน่วยเฉพาะกิจที่ 12 กองกำลังบูรพา เข้ายึดและควบคุมพื้นที่บ้านไปรจัน ตรงข้าม บ.หนองหญ้าแก้ว เป็นไปตามกฎการตอบโต้และการใช้กำลัง หลังพบว่าทหารเขมรได้เคลื่อนอาวุธและกำลังพลเข้ามา อีกทั้งยังตรวจพบระเบิด PMN-2 และใช้อาวุธหนักยิงใส่บ้านประชาชน
“รบครั้งนี้ เขมร เปลี่ยนยุทธวิธีในการรบ ช่วงเจรจาหยุดยิง มันไม่เคยหยุด สร้างถนน ขนกำลังพล อาวุธ เข้ามาในพื้นที่ตลอดแนว ฝ่ายเราก็ต้องปรับยุทธวิธีด้วยเช่นกัน เรารู้ว่าหัวใจสำคัญของเขา คือ กาสิโน อาคารสแกมเมอร์ ด้านอีสานใต้ กองทัพภาคที่ 2 รับผิดชอบไปแล้ว จะเห็นว่า วันนี้ บ่อนกาสิโนของ ลี ยงพัด หรือพัด สุภาภา ทั้งฝั่งตรงข้ามด้าน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว และ ด้านฝั่งตรงข้ามจ.สุรินทร์ ก็ไม่เหลือ …เราอาจต้องใช้การโจมตีเชิงลึก เพื่อตัดเส้นทางขนส่งอาวุธ และกำลังส่งกำลังบำรุง เข้าไปสู่พื้นที่ชั้นในเพื่อลดการสูญเสียของฝั่งเรา” แหล่งข่าวระบุ
ขณะที่ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ซึ่งเดินทางมาให้กำลังใจทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ รพ. ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี ให้สัมภาษณ์ช่วงหนึ่งว่า วันแรกกัมพูชาพยายามสร้างภาพ ว่า ไทยเป็นผู้กระทำส่งผลให้ วันที่ 2 เขาก็จะสร้างภาพจากการเป็นผู้กระทำก็จะปฏิบัติตอบโต้กับเรา แต่เรามีหลักฐานอยู่แล้วว่า ไม่ใช่เรื่องจริง
และต้นเหตุที่ไทยต้องปกป้องอธิปไตย มาจากวันที่ทหารเราเสียชีวิต 1 นาย บาดเจ็บ 2 นาย จากการที่กองกำลังของเรากำลังทำถนน ซึ่งเราทำถนนในพื้นที่ดินแดนไทย ส่งผลให้ทหารกัมพูชาไม่พอใจ มีการเตือนด้วยเสียง หลังจากนั้นก็ยิงใส่ทหารไทยทันที ขัดแย้งกับกฎการปะทะ ที่ต้องมีการยิงเตือนก่อน ไม่ใช่ยิงใส่ อีกทั้งพื้นที่ที่ทหารกัมพูชายิงใส่ทหารไทย คือ พื้นที่ของดินแดนไทย ไทยจึงมีสิทธิ์สมบูรณ์ที่จะตอบโต้กัมพูชา
พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก
“หลายพื้นที่ที่ทหารไทยสามารถครอบครองเริ่มมีความคืบหน้ามากขึ้น … แต่ในวันที่ 2 ทหารกัมพูชาเริ่มใช้ทั้งโดรนทิ้งระเบิด รวมทั้งอาวุธหนักโจมตีทหารไทยมากขึ้น ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าในช่วงที่ทั้งสองฝ่าย ถอนกำลังออกไป ทหารกัมพูชาก็ไม่ได้ถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ พร้อมทั้งมีการฝังตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเครื่องยืนยันว่ากัมพูชาไม่เคยพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา”
ส่วนการปะทะครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อใดนั้น เสนาธิการทหารบก กล่าวว่า อาจต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ต้องคำนึงการปฎิบัติโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของคนของเราให้มากที่สุด การปฎิบัติภารกิจต่างๆต้องค่อยๆคืบคลานและใช้ยุทธวิธีต่างๆ และต้องใช้วิธีลิดรอนและทำลายประสิทธิภาพของทหารเขมรให้มากที่สุดและรัฐบาลก็ไฟเขียวอยู่แล้วว่า ให้กองทัพปฎิบัติหน้าที่ได้เต็มที่ เราก็ทำไปตามแผนที่เราได้เตรียมไว้ สัญญาว่าเราจะทำให้เต็มที่
“เพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคตต่อไป ครั้งนี้จำเป็นต้องลิดรอนขีดความสามารถของเขาไปให้ไกล รวมทั้งขีดความสามารถในเชิงลึกด้วย เพื่อให้เขาหมดสภาพในแนวคิดที่เขาเข้ามาในดินแดนของเรา ด้วยวิธีการต่างๆที่เขาเคยใช้ และให้ไม่สามารถดำเนินการได้ต่อไปในอนาคต จึงทำให้เรามีวิธีการที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนในการปะทะกันรอบก่อนและปี 54”
การเปิดพื้นที่ปะทะตลอดหน้าแนวรบกัมพูชา-ไทย ด้านอีสานใต้และภาคตะวันออกใน 7 จังหวัด ขณะนี้สถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ยังคงตึงเครียด “มันจะจบที่รุ่นเราหรือไม่” ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ หากตราบใดก็ตามที่กัมพูชายังเป็นภัยคุกคามของไทยและของโลก โดยเฉพาะการเป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ของคอลเซนเตอร์และสแกมเมอร์ ใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย ภายใต้การกำกับของตระกูลฮุน
อ่านข่าว
F-16 ทิ้งระเบิดทำลายคลังเก็บจรวด BM-21 จ.อุดรมีชัย กัมพูชา
ยึดอายัดทรัพย์ทุนเทา ต้นทางทำกัมพูชาถล่มไทย
กัมพูชายิง BM-21 ตกหมู่บ้านเดียว 5 ลูก ชาวบ้าน-ชรบ.วิ่งเข้าบังเกอร์