โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

เรื่องสั้น

[จบ]สวรรค์ประทานหนูน้อยนำโชคมาสู่ครอบครัวชาวนา

นิยาย Dek-D

อัพเดต 05 ส.ค. เวลา 10.00 น. • เผยแพร่ 02 ส.ค. 2567 เวลา 06.01 น. • BookBox_Official
ฉินเยาเยากำลังตื่นตระหนก เพราะเธอดันทะลุมิติมาอยู่ในท้องหญิงชาวนาในแคว้นต้าหนิง ซึ่งตอนนี้กำลังเกิดภัยสงคราม… ในเมื่อเธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง เธอจึงตั้งใจว่าจะนำพาครอบครัวฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้!

ข้อมูลเบื้องต้น

สวรรค์ประทานหนูน้อยนำโชคมาสู่ครอบครัวชาวนา
天降农门小福宝,满朝权贵争着宠

*** ลิขสิทธิ์ถูกต้องภายใต้บริษัท บุ๊คบ็อค จำกัด***
ได้รับลิขสิทธิ์ออนไลน์ (Digital license) สำหรับแปลขายลงบนเว็บไซต์ได้อย่างถูกลิขสิทธิ์ 100%
สงวนลิขสิทธิ์
ผู้แต่ง : 叶芜 ผู้แปล : ทีมงาน bookbox

เรื่องย่อ :
‘ฉินเยาเยา’ แพทย์ทหารระดับท็อปในยุคปัจจุบัน ได้ทะลุมิติกลับมาเกิดใหม่เป็นเด็กทารก ณ แคว้นต้าหนิงในยุคสมัยแห่งสงคราม ครอบครัวใหม่ของเธอต้องต้องเผชิญกับความยากลำบากในระหว่างการลี้ภัยสงคราม ในเมื่อเธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง พร้อมทั้งได้พื้นที่มิติส่วนตัวในการสร้างเสบียง เธอจึงตั้งใจว่าจะคอยเตรียมเสบียง และนำพาครอบครัวฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการไปให้ได้

บทที่ 1 เกือบตายตั้งแต่เริ่มต้น (รีไรต์)

บทที่ 1 เกือบตายตั้งแต่เริ่มต้น

ฉินเยาเยากำลังตื่นตระหนก

ในฐานะแพทย์ทหารระดับท็อปของยุคปัจจุบัน ฉินเยาเยากลับทะลุมิติมาอยู่ในท้องของหญิงชาวนาในแคว้นต้าหนิง

แล้วทำไมนางถึงตื่นตระหนกนักล่ะ

ก็เพราะท่านแม่ของนางกำลังคลอดยากอย่างไรละ!

ไม่สิ พูดให้ถูกคือมันเกินกว่าคำว่าคลอดยากไปแล้ว

นางอุ้มท้องฉินเยาเยาได้เพียงเจ็ดเดือน แต่ในระหว่างถูกไล่ล่า นางดันวิ่งเร็วเกินไปจนสะดุดล้ม ดูเหมือนว่านางจะ…จะไม่มีลมหายใจแล้ว

เรื่องนี้ทำเอาฉินเยาเยาอดไม่ได้ที่จะตำหนิท่านพ่อที่ยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตา

ไม่รู้หรืออย่างไรว่านางท้องโย้ขนาดนี้แล้ว

อุ้มนางวิ่งไม่ได้หรือไง ถึงปล่อยให้หญิงท้องแก่ต้องวิ่งหนีเอาตัวรอดคนเดียวแบบนี้!

แต่ตอนนี้ ฉินเยาเยาก็ไม่มีเวลามาบ่นเรื่องท่านพ่อผู้ไร้ประโยชน์ไม่น่าเชื่อถือคนนั้นแล้ว

สิ่งเดียวที่ฉินเยาเยาทำได้ตอนนี้คือใช้แรงทั้งหมดที่มี เพื่อช่วยเหลือตัวเองในพื้นที่แคบ ๆ แห่งนี้

ฉินเยาเยารู้ว่าสถานที่ที่นางอยู่ตอนนี้เรียกว่าแคว้นต้าหนิง เป็นพื้นที่ที่เกิดภัยแล้งติดต่อกันมาสามปีแล้ว ชาวหนานหมานฉวยโอกาสนี้บุกโจมตีแคว้นต้าหนิง พรมแดนก็ถูกยึดครอง พวกเขาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนจึงได้แต่พาครอบครัวระหกระเหินไปยังเมืองหลวง หวังจะไปพึ่งพาญาติที่เมืองหลวง

ระหว่างทาง สวี่ซิ่วอิงที่ท้องแก่ ต้องลากพี่ชายสองคนของนางหนีเอาชีวิตรอด มันเป็นการหนีตายอย่างแท้จริง เพราะมีทหารไล่ตามมาไม่หยุด ระดับความอันตรายนั้น แม้แต่ฉินเยาเยาที่อยู่ในท้องก็ยังรู้สึกได้

ชาติก่อนฉินเยาเยาเป็นเด็กกำพร้า พูดให้ถูกคือเด็กเร่ร่อน

นางจึงไม่เคยสัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัว พอมีโอกาสครั้งนี้นางจึงอยากจะคว้าความอบอุ่นในชาตินี้ไว้

‘ท่านแม่ต้องเข้มแข็งไว้ ข้ายังไม่ได้เจอหน้าท่านเลย’

ฉินเยาเยาตะโกนถึงแม่ที่ยังไม่เคยพบหน้า พร้อมกับแกว่งแขนและขาเล็ก ๆ สุดกำลัง ในที่สุดด้วยความพยายามของนางก็ประสบผลสำเร็จ นางก็ได้ยินเสียง ‘โผละ’ ดังขึ้นข้างหู

น้ำคร่ำแตกแล้ว!

ในขณะเดียวกันนางก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความยินดี “สะใภ้สี่ฟื้นแล้ว!”

ได้ยินดังนั้น แม่เฒ่าฉินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ฟื้นแล้วก็ดี!”

แต่แล้วสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นช่วงล่างของสวี่ซิ่วอิง “ไม่ดีแล้ว! สะใภ้สี่น้ำคร่ำแตกแล้ว!”

ความกังวลใจที่เพิ่งจะจางหายไปก็กลับมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นดังนั้น แม่เฒ่าฉินจึงไม่สนใจสิ่งอื่น รีบสั่งการทันที

“สะใภ้รอง สะใภ้สาม มาช่วยกันตรงนี้ที! ส่วนคนอื่น ๆ หันหลังไป!”

“สะใภ้สี่เพื่อตัวเจ้าเองและลูกของเจ้า เจ้าต้องเข้มแข็งไว้!”

แม่เฒ่าฉินกดหน้าท้องของสวี่ซิ่วอิงค่อย ๆ ช่วยให้นางเบ่งเด็กน้อยออกมา พร้อมกับให้กำลังใจนางไปด้วย ทันใดนั้นฉินเหล่าซานก็ตะโกนขึ้นว่า “ท่านแม่! ทหารตามมาแล้ว!”

เสียงฝีเท้าม้าดังมาแต่ไกล ทำให้ทุกคนในตระกูลฉินตกใจกลัว

“ท่านแม่ พวกเราหนีกันเถอะ!” เฝิงเสี่ยวฮวา สะใภ้รองรีบลุกขึ้นยืนตะโกนบอกแม่เฒ่าฉิน ร่างกายของนางขยับออกไปด้านนอกอย่างช้า ๆ

นางไม่สามารถทิ้งสะใภ้ที่กำลังจะคลอดลูกบนหลังม้าได้ แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่น ๆ ตกอยู่ในอันตราย นางจึงเอ่ยเสียงเข้มว่า

“เหล่าซื่ออยู่ต่อ ที่เหลือไปเร็ว!”

“จะไปก็ไปด้วยกัน!”

“พวกเราจะอยู่กับท่าน”

ทุกคนไม่เห็นด้วยที่จะทิ้งแม่เฒ่าฉินและสะใภ้สี่ ยกเว้นแต่สะใภ้รอง

เมื่อเห็นว่าทุกคนยืนกรานจะไม่ไปไหน แม่เฒ่าฉินก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง พลางให้กำลังใจลูกสะใภ้ไปด้วย อีกมือก็ออกแรงกดที่ท้องของลูกสะใภ้มากขึ้น

“สะใภ้สี่ อดทนหน่อย ออกแรงเบ่งให้สุดแรง เมื่อเสี่ยวชีเป่าออกมา พวกเราจะพาเจ้าเด็กน้อยหนีไปด้วยกัน!”

คำพูดของแม่เฒ่าฉินอาจจะได้ผล สวี่ซิ่วอิงกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ และออกแรงเบ่งอย่างเต็มที่

เจ้าตัวน้อยในท้องของสวี่ซิ่วอิงก็ขยับตัว พยายามออกมาดูโลกภายนอก

ฉินเยาเยาก็ได้ยินเสียงข้างนอกเช่นกัน ยามคับขันแบบนี้ คนตระกูลฉินต่างก็ร่วมใจกันอย่างไม่ทอดทิ้ง นางชอบครอบครัวนี้จริง ๆ

สองแม่ลูกช่วยกันออกแรง ฉินเยาเยาจึงคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย

“เร็ว ๆ คลอดแล้ว ๆ”

สวี่ซิ่วอิงไม่คิดว่าจะคลอดเร็วขนาดนี้ พลันรีบถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกมาห่อตัวฉินเยาเยาเอาไว้โดยไม่ทันได้ดูว่าเป็นชายหรือหญิง

แม่เฒ่าฉินจัดเสื้อผ้าของสวี่ซิ่วอิงให้เรียบร้อย แล้วเรียกผู้เฒ่าฉินให้มาแบกสวี่ซิ่วอิงไว้บนหลัง

แม่เฒ่าฉินมองไปที่พวกทหารที่อยู่ไม่ไกล พลางตะโกนเสียงดังว่า “หนี!”
สำหรับการจัดการของสวรรค์ ฉินเยาเยารู้สึกว่านางพอใจมาก

เพียงแต่ตอนนี้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว เพิ่งออกมาจากท้องแม่ยังไม่ทันได้เห็นโลก ก็ถูกห่อด้วยเสื้อผ้าที่ทั้งสกปรกทั้งเหม็นจนนางอยากจะอาเจียน

ที่สำคัญคือสายสะดือของนางยังติดอยู่กับรก ถูกห่อรวมกันไว้ทั้งอย่างนั้น ร่างกายเต็มไปด้วยคราบเลือดเหนียวเหนอะหนะ แถมยังถูกห่อด้วยเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่ออีก

กลิ่นเหม็นเปรี้ยวของเหงื่อไคลผสมกับกลิ่นคาวเลือด ทำเอาฉินเยาเยาแทบสิ้นสติอยู่ตรงนั้น

‘แล้วนี่…ป้าสะใภ้สาม ถ้าท่านเหลือบมองข้าสักหน่อยได้หรือไม่ รู้ตัวเสียหน่อยว่าท่านอุ้มข้ากลับหัวอยู่’

โชคดีที่ระหว่างที่พวกเขากำลังวิ่งหนีอยู่นั้น เสื้อผ้าที่ห่อตัวฉินเยาเยาเอาไว้เกิดคลายตัวออก ทำให้ศีรษะน้อย ๆ ของนางโผล่ออกมาได้ทันเวลา นางจึงรอดพ้นจากการสิ้นชีพเพราะขาดอากาศหายใจไปอย่างหวุดหวิด

‘ขอบคุณป้าสะใภ้สามจริง ๆ ที่ไม่ได้ห่อตัวข้าไว้แน่นเกินไป ไม่เช่นนั้นข้าคงได้ตายเพราะขาดอากาศหายใจไปแล้ว’

ฉินเยาเยารีบร้องเสียงดังลั่นทันที

มันคือการเอาชีวิตรอดชัด ๆ นอกจากจะช่วยเปิดทางเดินหายใจให้โล่งแล้ว นางยังหวังว่าเสียงร้องไห้ของนางจะช่วยเตือนสติป้าสะใภ้สามที่ไม่ทันระวังตัว ให้รู้ว่าท่านกำลัง…อุ้มนางกลับหัวอยู่

การที่ต้องถูกห้อยหัวแบบนี้มันทรมานนะ!

ทันทีที่ฉินเยาเยาร้องไห้ออกมา ก็มีเสียงคำรามดังกึกก้องข้างหู “รีบไปเร็ว!”

ต่อด้วยเสียงคำรามของผู้ชายในตระกูลฉิน

“วิ่งไปข้างหน้าให้สุดแรง อย่าหันหลังกลับไปมอง!”

ฉินเยาเยาถูกกอดประคองเอาไว้ในอ้อมแขน ตัวนางถูกจับห้อยหัวลง เมื่อมองจากมุมนี้ นางเห็นว่ากองทัพทหารม้าของพวกหนานหมานอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งลี้*[1]แล้ว แม่เฒ่าฉินและคนอื่น ๆ ในครอบครัวฉินต่างก็พยายามส่งเด็ก ๆ และผู้หญิงให้ไปข้างหลัง ส่วนพวกเขาก็ถือมีดสับฟืน ไม้คาน และข้าวของต่าง ๆ เป็นอาวุธป้องกัน ยืนขวางเอาไว้เบื้องหน้า

เหล่าบุรุษของตระกูลฉินต่างชูอาวุธในมือ ยืนเรียงแถวเป็นกำแพงเหล็กที่แข็งแกร่งดุจดั่งขุนเขา คุ้มครองครอบครัวของตนที่อยู่ด้านหลัง

“ท่านย่า!”

“ท่านพ่อ!”

“ท่านพ่อขอรับ!”

สมาชิกตระกูลฉินที่วิ่งหนีไปก่อนหน้า ต่างก็หยุดฝีเท้าลงทันที พวกเขาวิ่งกลับมาอย่างไม่คิดชีวิต

ในใจของพวกเขามีเพียงความคิดเดียว นั่นคือการยอมตายไปด้วยกัน

ฉินลิ่งอวี่หลานชายคนโตของตระกูลฉินเก็บท่อนไม้ใหญ่เท่าข้อมือได้จากข้างทาง แล้วถือมันไว้ด้านหน้า จ้องมองทหารม้าของพวกหนานหมานที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ด้วยความโกรธแค้น

ส่วนสวี่ซิ่วอิงนั้น ร่างกายอ่อนแอเกินไป นางจึงหมดสติไปนานแล้ว

ฉินเยาเยาโดนอุ้มและวิ่งอย่างรวดเร็ว ศีรษะเล็ก ๆ ของนางสั่นไปมาไม่หยุด จนกระทั่งรู้สึกเวียนศีรษะไปหมด
เห็นภาพแบบนี้ แม้แต่ในใจของฉินเยาเยาเองก็ร้อนรุ่มไม่แพ้กัน ทว่าร่างกายของนางนั้นเพิ่งจะลืมตาดูโลก ยังขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้ แม้ใจอยากจะช่วยเหลือแต่ก็ทำได้เพียงมองดูแค่นั้น

‘หรือว่าชีวิตนี้ของข้าจะจบลงตั้งแต่เพิ่งเริ่มต้น’

สรรค์ท่านเล่นตลกแบบนี้ไม่ได้นะ!

ถ้าตอนนี้เกิดแผ่นดินไหว สั่นสะเทือนจนเกิดหลุมลึก ฝังกลบพวกมันไปให้หมดก็ดีสิ

ฉินเยาเยาคิดในใจ

ในขณะที่คนอื่น ๆ ในตระกูลฉินกำลังคิดว่าคงไม่รอดแล้ว ทันใดนั้นพื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน ก้อนหินขนาดยักษ์บนภูเขาทั้งสองข้างไหลลงมา ถนนหนทางก็แตกออกเป็นช่องขนาดใหญ่

ทหารม้าที่กำลังกวัดแกว่งดาบเข้ามา ในตอนที่พวกเขาอยู่ห่างจากครอบครัวตระกูลฉินไม่ไกล พวกเขาก็ถูกช่องที่แตกออกอย่างกะทันหันบนพื้นดิน กลืนกินไปจนหมดสิ้น

ก้อนกรวดและทรายบริเวณรอยแยกไหลลงมา ฝังกลบพวกทหารไว้ทั้งหมด เหล่าทหารม้าหลายร้อยนายไม่มีใครรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว!

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึง พวกเขายืนนิ่งอยู่กับที่ จนรู้สึกเริ่มหายใจลำบาก เพราะความตื่นตะลึง

‘อะไรกัน ขอแบบนี้ก็ให้จริงหรือ’

‘ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอให้ตัวข้างดงามราวกับดอกไม้ ให้ใครต่อใครหลงใหล พร้อมทั้งมากด้วยเงินทองใช้เท่าไรก็ไม่มีวันหมดด้วยเถิด!’

[1] เป็นหน่วยวัดของจีนมีความยาวเท่ากับ 500 เมตร

บทที่ 2 นางชอบครอบครัวนี้จริง ๆ (รีไรต์)

บทที่ 2 นางชอบครอบครัวนี้จริง ๆ (รีไรต์)

“ท่านแม่!”

“ท่านทั้งสองไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

สือไห่ถังสะใภ้สามกอดฉินเยาเยาไว้แนบอก ลากฉินลิ่งอันหรือเสี่ยวลิ่วตัวน้อย วิ่งหน้าตาตื่นมาหาฉินเหล่าซาน นางสำรวจร่างของเขาอย่างร้อนรน

เมื่อครู่นี้เหตุการณ์นั้นน่ากลัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งพื้นดินสั่นสะเทือนอย่างกะทันหัน จนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นบนพื้น

พวกเขามองดูอยู่ไกล ๆ รอยแยกนั้นดูเหมือนกับว่ากำลังแตกออกใต้ฝ่าเท้า ราวกับว่าอีกไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็จะถูกมันกลืนกิน

แต่พวกเขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ต่างจากทหารม้าหนานหมานที่ตกลงไปในเหวลึกทั้งหมด

ฉินเหล่าซานได้สติกลับมา เขามองดูรอยแยกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ลำคอของเขากระตุกอย่างยากลำบาก รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วแผ่นหลัง

“โชคดีจริง ๆ เกือบไปแล้ว เกือบจะถูกแผ่นดินกินอยู่แล้ว”

คนอื่น ๆ ในตระกูลฉินมองดูหลุมยักษ์ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วแผ่นหลังเช่นกัน จนพากันถอยหลังออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ต้องเป็นเพราะเสี่ยวชีเป่าช่วยพวกเราไว้แน่ ๆ!”

“เสี่ยวชีเป่าอยู่ไหน ขอข้าอุ้มดาวนำโชคของข้าหน่อย!”

แม่เฒ่าฉินเป็นหม้ายตั้งแต่อายุยังน้อย ต้องเลี้ยงดูลูกชายทั้งห้าคนด้วยตัวคนเดียว นางเป็นคนกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ไม่เคยกลัวผีสางเทวดา แม้จะเป็นชาวนาธรรมดา ๆ แต่นางก็ไม่เคยเชื่อเรื่องลึกลับ นางเชื่อว่าทุกอย่างเกิดจากน้ำมือมนุษย์

แต่หลังจากผ่านประสบการณ์เฉียดตายอย่างน่าอัศจรรย์ นางก็เชื่อมั่นว่าต้องเป็นเพราะเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกอย่างเสี่ยวชีเป่าแน่ ๆ

สวรรค์คงสงสารที่เสี่ยวชีเป่าอาจต้องมาตายตั้งแต่เพิ่งเกิด จึงส่งเทพยดาลงมาช่วยชีวิตเสี่ยวชีเป่าเอาไว้ ทำให้ครอบครัวของนางปลอดภัย

“โอ๊ย! สะใภ้สาม เจ้าอุ้มเสี่ยวชีเป่ากลับหัวแบบนี้ได้อย่างไร!”

ตอนที่แม่เฒ่าฉินรับฉินเยาเยาจากอ้อมแขนของสะใภ้สาม นางก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉินเยาเยาถูกอุ้มกลับหัวอยู่ตลอดเวลา จึงร้องออกมาด้วยความตกใจ

เห็นหน้าฉินเยาเยาแดงก่ำเพราะเลือดคั่ง แม่เฒ่าฉินก็รู้สึกเจ็บปวดใจจนทนไม่ไหว หันไปตีแขนสะใภ้สามอย่างแรง พลางร้องว่า “คุณพระคุณเจ้า สร้างกรรมแท้ ๆ!”

สะใภ้สามถูกแม่เฒ่าฉินตีก็ไม่กล้าพูดสักคำ นางจ้องมองฉินเยาเยาด้วยความกังวลจนน้ำตาคลอเบ้า

ถ้าฉินเยาเยาเป็นอะไรไปเพราะความประมาทของนาง นางจะไปตอบคำถามกับน้อง ๆ อย่างไรไหว

อาการไร้เรี่ยวแรงของฉินเยาเยา ทำให้แม่เฒ่าฉินเป็นกังวลอย่างมาก จนนางร้องตะโกนด้วยความร้อนใจ “เร็วเข้า! เหล่าซื่อรีบถอดเสื้อออก แล้วเอาเสี่ยวชีเป่าอกแนบไว้ เสี่ยวชีเป่าคงจะตกใจ แบบนี้จะช่วยเรียกขวัญนางกลับมาได้”

ฉินเหล่าซื่อไม่สนใจอะไรทั้งนั้น รีบถอดเสื้อออก แล้วอุ้มฉินเยาเยาแนบอกทันที

ตัวเด็กน้อยเพิ่งจะรู้สึกตัว ก็ถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่น จมูกพลันได้กลิ่นเฉพาะของผู้ชาย ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นตุบ ๆ ทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

หลังถูกตบเบา ๆ ชายคนนั้นปลอบนางด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี พ่ออยู่นี่แล้ว เจ้าไม่ต้องกลัว พ่อจะปกป้องเจ้าเอง พวกเราจะไม่เป็นไร”

พ่อ

ดวงตาของฉินเยาเยาพร่ามัว กระทั่งน้ำตาไหลรินออกมา

ตอนฉินเยาเยาอายุห้าขวบ พ่อแม่ของนางเสียชีวิตพร้อมกัน แม้ว่าฉินเยาเยาจะได้รับการอุปการะจากรัฐบาล ไม่ขาดแคลนเงินทอง อาหารและเสื้อผ้า แต่คำว่า ‘พ่อ’ ช่างห่างไกลจากนางเหลือเกิน

ก่อนหน้านี้ ฉินเยาเยาได้แต่เฝ้ามองเพื่อน ๆ เล่นกับพ่อแม่อยู่ข้าง ๆ จนนางมักจะจินตนาการว่า ถ้าได้เกิดในครอบครัวธรรมดา ๆ ก็คงจะดี เวลากลับถึงบ้าน ก็คงไม่ต้องเผชิญกับความเย็นชา

บางทีสวรรค์อาจจะสงสาร ปล่อยให้นางได้เกิดใหม่ ชดเชยสิ่งที่นางโหยหา

ฉินไห่โจวลูกชายคนที่สี่ของตระกูลฉิน ก้มลงมองเด็กน้อยในอ้อมแขนที่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ก็รู้สึกเจ็บปวดใจ กำลังจะปลอบ แต่พอเห็นบางอย่างเข้า เขาก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ “โอ้! เสี่ยวชีเป่าเป็นเด็กผู้หญิง ข้ามีลูกสาวแล้ว!”

ทันใดนั้น แม่เฒ่าฉินก็รีบวิ่งเข้ามาดูด้วยความดีใจจนร้องเสียงหลงว่า “โอ้! นี่ไงแก้วตาดวงใจของข้า”

แม่เฒ่าฉินอุ้มฉินเยาเยาขึ้นมา ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสายสะดือของนางยังไม่ได้ตัด จึงรีบสั่งให้คนอื่นว่า “เหล่าซื่อ พาสะใภ้สี่ไปหาที่สะอาด ๆ แล้วทำความสะอาดร่างกายให้หลานข้าที”

“ส่วนพวกเจ้าที่เหลือ ไปหาหม้อกับผ้า และของใช้ที่พอจะหาได้แถวนี้มา แล้วก็เอาน้ำมาด้วย”

ตั้งแต่หนีภัยสงครามมา พวกเขามักถูกไล่ล่าเสมอ ข้าวของที่นำติดตัวมาจากบ้านก็หายไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้จะไปอาศัยอยู่ที่ใด เหลือเพียงเสื้อผ้าที่สวมติดกายอยู่เท่านั้น

แต่เมื่อมีหลานสาวอยู่ในอ้อมแขน พวกเขาก็ไม่หวั่นเกรงต่อความยากลำบากใด ๆ

“ขอรับ”

ทุกคนรับคำเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนจะแยกย้ายกันออกไปหาของตามที่ได้รับมอบหมาย ส่วนเรื่องกองทัพทหารม้าที่ถูกฝังทั้งเป็นนั้น พวกเขาไม่ได้สนใจไยดีอีกต่อไป

เพราะไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหลานสาวคนเดียวของตระกูล!

ในยามเภทภัยเช่นนี้ ตามข้างทางเต็มไปด้วยซากศพ ดังนั้นการหาของใช้ตามข้างทางจึงไม่ใช่เรื่องแปลก พวกเขาต้องอาศัยเก็บของและพืชผักข้างทางประทังชีวิตเช่นนี้มาเป็นเวลาครึ่งเดือนแล้ว

ไม่นานนัก สะใภ้สามก็ตักน้ำเต็มหม้อดินเผากลับมา ฉินไห่หลินลูกชายคนรองกับฉินไห่ชิวลูกชายคนที่สามก็แบกฟืนกับเสื้อผ้ามากองใหญ่

ส่วนฉินลิ่งอันยังหาข้าวสารได้อีกถุงหนึ่ง

สะใภ้สามเห็นดังนั้นจึงรีบตั้งเตาก่อไฟ ส่วนพี่น้องบ้านตระกูลฉินกับหลานชายที่โตหน่อยก็ช่วยกันเอาเสื้อผ้าที่หามาได้ ไปกางเป็นกระโจมพักง่าย ๆ บนก้อนหินใหญ่ ให้สวี่ซิ่วอิงกับเจ้าตัวน้อยได้พัก

แม่เฒ่าฉินเชี่ยวชาญยิ่งนัก จัดแจงเช็ดตัวทำความสะอาด ตัดและผูกสายสะดือให้เรียบร้อย แล้วจึงหาผ้าสะอาดอีกผืนมาห่อตัวฉินเยาเยาเอาไว้

“แอ้”

เจ้าตัวน้อยถูกเช็ดตัวจนสะอาด พอรู้สึกสบายตัวก็ส่งเสียงอ้อแอ้ ยิ้มหวานให้แม่เฒ่าฉิน

“โอ๋ ๆ หลานย่า” แม่เฒ่าฉินเห็นหลานสาวยิ้มให้ก็ปลื้มใจ อุ้มไปอุ้มมาจนยิ้มแก้มแทบปริ

“ท่านย่าขอข้าดูนางหน่อย” ฉินลิ่งอันวิ่งมาเกาะขาแม่เฒ่าฉินอย่างออดอ้อน

ส่วนคนอื่น ๆ แม้จะไม่เอ่ยปาก แต่สายตาก็จับจ้องไปที่เจ้าตัวน้อยในอ้อมกอดแม่เฒ่าฉินไม่วางตา

เริ่มตั้งแต่รุ่นท่านทวดของบ้านตระกูลฉิน ก็เหมือนตกลงไปในไหปลาร้า เพราะทวดมีบุตรชายห้าคน พอถึงรุ่นปู่ก็มีบุตรชายอีกห้าคนเช่นกัน

ตระกูลฉินมีบุตรชายด้วยกันห้าคน แต่บุตรชายคนโตของตระกูลได้หายสาบสูญไป

บุตรชายคนที่สองฉินไห่หลิน มีลูกชายสองคน คือหลานชายคนโต ฉินลิ่งอวี่และหลานชายคนที่สาม ฉินลิ่งเฟิง

บุตรชายคนที่สามฉินไห่ชิว มีลูกชายสองคน คือหลานชายคนที่สอง ฉินลิ่งหมิงและหลานชายคนที่สี่ ฉินลิ่งเหวิน

บุตรชายคนที่สี่ฉินไห่โจว มีลูกชายสองคน คือหลานชายคนที่ห้า ฉินลิ่งผิง และหลานชายคนที่หก ฉินลิ่งอัน

โดยหลานชายคนที่ห้ากับคนที่หกเป็นฝาแฝดกัน

ส่วนบุตรชายคนที่ห้ายังไม่ได้แต่งงาน

ครั้งนี้ที่สวี่ซิ่วอิงตั้งครรภ์ ทุกคนในครอบครัวต่างก็หวังว่าลูกในท้องของนางจะเป็นเด็กผู้หญิง และในที่สุดความปรารถนาก็เป็นจริง พวกเขามีเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่น่ารัก นับจากนี้ไปครอบครัวของพวกเขาก็จะมีเด็กผู้หญิงตัวน้อย ๆ ที่หอมนุ่มนิ่มแล้ว ไม่ต้องกลัวคนอื่นหัวเราะเยาะว่าครอบครัวของพวกเขาเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยบุรุษอีกต่อไป

แม่เฒ่าฉินอุ้มฉินเยาเยาด้วยท่าทางระมัดระวัง ย่อตัวลงครึ่งหนึ่งเพื่อให้หลานชายคนที่หกและคนอื่น ๆ ได้ดู

“สวรรค์! ทำไมนางตัวเล็กเหมือนลูกแมวเลยล่ะ”

ฉินลิ่งอวี่และพี่น้องทั้งหกคนพูดคุยกันขณะดูน้องสาวของพวกเขา

“เหตุใดเจ้าต้องทำหน้ายู่ยี่เหมือนคนแก่ น่าชังเสียจริง ๆ!”

คำพูดของฉินลิ่งเฟิงกับฉินลิ่งเหวินเพิ่งจะจบลง ก็โดนฉินไห่หลินเคาะศีรษะดัง ‘ป๊อก’ ทำเอาพวกเขาหัวร้อง “โอ๊ย!” ออกมาด้วยความเจ็บปวด

บทที่ 3 พี่ใหญ่ ท่านคงลำบากมาก! (รีไรต์)

บทที่ 3 พี่ใหญ่ ท่านคงลำบากมาก!

“ท่านพ่อ ท่านตีข้าทำไม”

“เจ้ายังมีหน้ามาพูดว่านางขี้เหร่อีกหรือ ตอนเด็กเจ้าทั้งดำทั้งผอมเหมือนลิงไม่มีผิด ทั้งยังขี้เหร่กว่านางอีก”

“เป็นไปไม่ได้ ท่านแม่บอกว่าตอนเด็กข้าน่ารักที่สุด ท่านตาหลี่ข้างบ้านเห็นข้าทีไรก็แย่งกันกอดทุกที!”

“อ้อ ท่านตาหลี่นั่นแค่ประหลาดใจว่าทำไมมีคนหน้าเหมือนลูกลิงก็เท่านั้น”

“ท่านพ่อ!”

คำพูดของฉินไห่หลินทำให้เขาโกรธจนตะโกนลั่น ปรี่เข้าไปจี้เอวฉินไห่หลินอย่างแรง

สองพ่อลูกเล่นกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากนั้น ฉินลิ่งผิงและฉินลิ่งอันก็เข้าร่วมวงเล่นสนุกด้วย

เสียงหัวเราะช่วยบรรเทาความทุกข์ระทมจากการหนีภัยไปได้ชั่วขณะ
ฉินเยาเยาได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างหู ทำให้รู้สึกตื้นตันใจและมีอารมณ์ขันไปพร้อม ๆ กัน

เด็กที่พึ่งเกิดใหม่ก็ดูเหี่ยวย่นอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินเยาเยาที่คลอดก่อนกำหนด ลุงรองคนนี้ก็ชมนางเกินไปแล้ว

นางชอบลุงรองที่สุด!

“ท่านแม่ ข้าเอาน้ำข้าวต้มมาให้เสี่ยวชีเป่ารองท้องก่อน ไม่รู้ว่าซิ่วอิงจะตื่นยามไหน”

คนในครอบครัวที่รุมล้อมอยู่ พอเห็นน้ำข้าวต้มในมือของนางสือก็จ้องมองตาเป็นมัน น้ำลายไหลโดยไม่รู้ตัว

ช่วงนี้อาหารการกินก็ขาดแคลน พวกเขาได้กินรากไม้ใบหญ้าประทังชีวิตไปวัน ๆ นาน ๆ ทีโชคดีถึงจะได้กินเศษข้าวของคนอื่น พวกเขาลืมรสชาติของข้าวต้มไปนานแล้ว

แต่ทุกคนก็ได้แต่ยืนมอง ไม่มีใครเอ่ยปากร้องขอ เพราะรู้ว่าน้ำข้าวต้มชามนี้เป็นของเสี่ยวชีเป่า

แม่เฒ่าฉินคว้าชามน้ำข้าวต้มไว้ มองไปที่หลาน ๆ ที่กำลังกลืนน้ำลายอย่างหิวโหย แล้วก้มมองดูฉินเยาเยาที่กำลังพ่นฟองน้ำลายเล่น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางดีใจที่ได้หลานสาว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

เจ้านี่เกิดผิดเวลาเสียจริง!

ระหว่างทางที่อพยพหนีภัย พวกเขาถูกตามล่าหลายครั้ง เสบียงที่เตรียมมาจากบ้านก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดแล้ว พวกผู้ใหญ่ยังพอจะกินรากไม้ใบหญ้าประทังชีวิตไปได้ แต่เสี่ยวชีเป่าทำแบบนั้นไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น สวี่ซิ่วอิงก็ยังไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมายามไหน

ถึงซิ่วอิงจะฟื้นขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีของบำรุงร่างกายให้นาง นางก็ไม่มีน้ำนมให้เสี่ยวชีเป่ากินหรอก

ฉินลิ่งอวี่คิดว่าที่ผู้เป็นย่าถอนหายใจ เพราะข้าวสารเป็นพวกเขาหามาได้ กลับต้องเอาไปให้แก่น้องสาว ทำให้นางรู้สึกผิด จึงพูดปลอบว่า “ท่านย่า ท่านไม่ต้องกังวลเรื่องพวกข้าหรอก พวกข้าไปหาผักป่ามากินกันได้ รีบเอาน้ำข้าวต้มไปให้นางเถอะขอรับ อย่าให้นางต้องหิวเลย”

ทารกกระเพาะอาหารเล็ก ฉินเยาเยากินไปได้เพียงไม่กี่คำก็อิ่มจนเผลอหลับไป ก่อนจะหลับ นางเหลือบมองคนในครอบครัวฉินที่มีสีหน้าซีดเซียว และผอมโซทุกคน นางคิดในใจว่า ถ้าหากพื้นที่มิติของข้าตามมาด้วยก็คงจะดี

ทันทีที่หลับตา นางก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในสถานที่อบอุ่น พอนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าก็ทำให้นางต้องตกตะลึง

ที่นี่มัน…

สถานที่ที่คุ้นเคยแบบนี้…

มิติ!

มิติของนางตามมาด้วย!

ฉินเยาเยาตื่นเต้นมากจนลอยละล่องอยู่ในมิติ เอ่อ… นางลอยขึ้นมาจริง ๆ ด้วยการควบคุมร่างกายของตัวเองด้วยจิตใจ นางจึงสามารถล่องลอยไปมาได้

ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นแค่เด็กทารกที่ยังพลิกตัวไม่ได้ วิธีเดียวที่พอจะขยับเขยื้อนได้ก็คือการลอยไปลอยมา

ห้องนอน ห้องครัว โกดัง ไม่เพียงแต่ยังอยู่ครบ แต่ข้าวของข้างในก็ยังอยู่ครบถ้วน

สิ่งที่ทำให้นางดีใจที่สุดก็คือ ต้นไม้ที่ปลูกในป่าไม่เพียงแต่ออกผลเต็มต้นแล้ว ไก่ เป็ด ห่าน วัว แพะ ที่เลี้ยงไว้ใต้ต้นไม้ก็เข้าสู่ช่วงผลผลิตสูงแล้ว ลูกไก่ ลูกเป็ด ลูกห่าน ลูกหมู ลูกแพะ วิ่งเล่นเต็มพื้นไปหมด

มีสิ่งเหล่านี้แล้ว นางจึงไม่ต้องกังวลว่าจะอดตาย

แม้แต่คนทั้งตระกูลฉินก็จะไม่อดตายอีกต่อไป เพียงแต่ว่านางจะเอาของพวกนี้ออกมาได้อย่างไรนั้น นางยังต้องคิดให้ดีเสียก่อน

พื้นที่เล็ก ๆ นี้มีมาตั้งแต่ชาติที่แล้วของนางแล้ว ส่วนหลักการมีอยู่ของมัน นางก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ตั้งแต่จำความได้ มันก็มีอยู่แล้ว

ตอนแรก นางแค่ถือว่ามันเป็นคลังสมบัติลับ เอาไว้ใส่ของกระจุกกระจิกของผู้หญิง ต่อมาได้เข้าร่วมกองกำลังรบ นางจะซื้ออาหารจำนวนมากมาใส่ไว้ในนี้ทุกครั้งที่มีโอกาส เมื่อใดที่อาหารขาดแคลน นางก็จะนำออกมาให้เพื่อนทหารได้บำรุงร่างกาย

หลังจากนั้นความลับของนางก็ถูกผู้นำค้นพบ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาก็เหมือนคนบ้าคลั่ง เห็นอะไรเป็นไม่ได้ ก็จะโยนเข้าไปในพื้นที่ของนาง ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ ทองแดง เหล็ก หรือข้าวสาร เกลือ น้ำมัน คนอื่นเขาเตรียมอาวุธเสบียงก่อนออกรบ แต่พวกเขามีเธอเพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ต้องการอะไรก็โยนเข้าไปในพื้นที่ของนาง สะดวกสบาย ทั้งยังสามารถทำให้ศัตรูตายใจได้อีกด้วย

นางยังแอบขโมยรูปปั้นสัตว์และเครื่องทองแดงที่วางอยู่ในตู้โชว์ในพิพิธภัณฑ์ของประเทศอินทรีมาอีกด้วย… โดยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของท่านผู้นำ…

ในขณะที่ฉินเยาเยากำลังมีความสุขกับการล่องลอยไปมาในพื้นที่ ทันใดนั้นก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นข้างหู

“ท่านแม่ ไห่หลิน ต้าเป่า ซานเป่า พวกเจ้าอยู่ไหน ข้าหาพวกเจ้าเจอจนได้!”

“พวกเจ้าปลอดภัย นี่มันดีจริง ๆ”

เสียงร้องไห้โหยหวนปลุกให้ฉินเยาเยาตื่นขึ้น นางกะพริบตาปริบ ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แม่เฒ่าฉินมองไปที่สะใภ้รองที่นั่งอยู่บนพื้น ดวงตาสอดส่ายไปมารอบตัว ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “เจ้าไม่ใช่คนที่วิ่งหนีไปก่อนหรือ กลับมาทำอันใดอีก”

ย้อนกลับไปตอนที่พวกทหารม้ามาถึง คนที่วิ่งเร็วที่สุดเห็นจะเป็นนาง ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเช่นนั้น การรักษาชีวิตเอาไว้ย่อมสำคัญที่สุด แต่นางไม่ควรเอาชีวิตรอดด้วยการโยนเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบอย่างเสี่ยวลิ่วลงไปในหุบเขา โดยไม่สนใจเลยว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้เสี่ยวลิ่วได้รับอันตรายหรือไม่
แม่เฒ่าฉินจ้องมองนางด้วยความเกลียดชัง

อยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้านางสักสองสามครั้ง

เสี่ยวลิ่วอายุยังน้อย นางทำลงได้อย่างไร

ส่วนฉินไห่ชิวและเหล่าเด็กชายตระกูลฉินต่างก็ขุดดินเล่นนับมด ไม่แม้แต่จะชายตามองสะใภ้รองผู้นี้

เฝิงเสี่ยวฮวานั่งลงบนพื้น เอามือปิดหน้าตัวเอง มองสีหน้าที่หลากหลายของคนตระกูลฉิน ดวงตาเหลือบมองน้ำข้าวต้มที่ฉินเยาเยาทานเหลืออยู่ในชามที่วางอยู่บนก้อนหินไม่ไกล ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก นางตบต้นขาตัวเองเสียงดัง แล้วเริ่มร้องไห้ฟูมฟาย

“ข้านึกแล้วเชียวว่าพวกเจ้าจงใจทิ้งข้าไว้คนเดียว แล้วแอบหนีไปกินน้ำข้าวต้มกัน!”

“โอ้สวรรค์! ได้โปรดรับข้าไปเถิด ข้าไม่อยากอยู่แล้ว สามีกับลูกในไส้ยังทิ้งข้าได้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร…”

สะใภ้รองนอนดิ้นพล่านอยู่บนพื้น ดวงตากลับจ้องเขม็งไปที่น้ำข้าวต้มครึ่งถ้วยที่ฉินเยาเยากินเหลืออยู่

“ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ งั้นข้าก็ไม่ขัดจะช่วยส่งเจ้าเอง” แม่เฒ่าฉินมองสะใภ้รองอย่างเย็นชา

“เหล่าเอ้อร์ เหล่าซาน ไปขุดหลุมฝังนางซะ!”

พอได้ยินดังนั้น นางเฝิงก็เงียบเสียงลงในทันที นางรู้ดีว่า หากแม่เฒ่าฉินเอ่ยปากว่าจะฝัง นางก็ไม่รอดแน่

“นางเฝิง ไม่ใช่ว่าเจ้าไปแล้วหรือ เหตุใดจึงกลับมาอีก”

แม่เฒ่าฉินถึงกับเอ่ยเรียกว่า ‘นางเฝิง’ ออกมา แสดงให้เห็นว่าโกรธมากเพียงใด

สะใภ้รองเบะปากอย่างไม่สะทกสะท้าน “ก็พวกทหารม้าบุกมาถึงที่แล้ว ผู้ใดเล่าจะโง่ไม่หนีตายกันล่ะ!”

“แม้จะบอกว่าข้าหนีไปแล้ว พวกท่านก็ควรจะตามหาข้าบ้างสิ นี่กระไร ไม่ตามหา ทั้งยังแอบกินน้ำข้าวต้มกันอีก พวกท่านอยากจะกินส่วนของข้า!”

แม่เฒ่าฉินฉินโกรธจัด เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าจะหนีไปข้าไม่ว่า แต่เจ้าไม่ควรผลักเสี่ยวลิ่วตกเขา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสี่ยวลิ่วอาจจะเอาชีวิตไม่รอด!”

“และอีกอย่าง น้ำข้าวต้มนั่นใครกันที่ได้กิน ข้าวสารหยาบ ๆ พอดีกำมือ ลิ่งอวี่ทนเหม็นเน่าควานหาจากศพเพื่อมาเป็นเสบียงให้เสี่ยวชีเป่า!”

แหวะ~

ฉินเยาเยาเกือบจะอาเจียนออกมา

ศพ

เหม็นเน่า

พี่ใหญ่ ท่านคงลำบากมาก!

อ่านต่อนิยายเรื่องนี้

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...