โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ส่องงบ “คาสิโอ ประเทศไทย” พิษเศรษฐกิจกระทบจริง หรือ แค่ข่าวลือ?

Wealthy Thai

อัพเดต 08 พ.ย. เวลา 06.32 น. • เผยแพร่ 04 มิ.ย. เวลา 02.37 น.

เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะได้เห็นข่าวลือผ่านตามาบ้าง เกี่ยวกับประเด็นการปิดสาขาในไทยของแบรนด์นวัตกรรมสัญชาติญี่ปุ่น “Casio” หลังเผชิญกับพิษเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี ท้ายที่สุดพบว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเพียง ‘Fake News’ เท่านั้น เพราะทางแบรนด์ยังไม่ได้มีการประกาศยุบสาขาในประเทศไทยแต่อย่างใด
ต่อเนื่องจากประเด็นดังกล่าว Wealthy Thai จึงอยากพาทุกท่านไปสำรวจธุรกิจ Casio ในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจโดยรวมแบบคร่าวๆ ว่ายังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด

ก่อนอื่นขอเริ่มจากจุดเริ่มต้นของแบรนด์ “Casio” กันก่อน

โดยหากจะกล่าวถึงจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี คงต้องย้อนกลับไปในปี 1946 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ Casio Computer Co., Ltd. ได้ถือกำเนิดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยวิศวกรผู้ก่อตั้งนามว่า Tadao Kashio ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทได้ในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ชื่อว่า "Yubiwa Pipe" หรือแหวนเขี่ยบุหรี่ขึ้นมา ซึ่งได้รับความนิยมไม่น้อยในขณะนั้น จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในการสร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ Casio
แต่สิ่งที่ทำให้ชื่อของ “Casio” กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง คือ เครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดรุ่น 14-A ขึ้นในปี ค.ศ. 1957 โดยเครื่องคิดเลขรุ่นนี้ทำงานด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเป็นเครื่องแรกของโลก ด้วยเทคโนโลยีรีเลย์เป็นพื้นฐาน
นอกจากนี้ Casio ยังขยายชื่อเสียงออกไปให้มากขึ้นด้วยการจำหน่ายนาฬิกาดิจิทัลเรือนแรกที่สามารถแสดงวันที่อัตโนมัติได้ ในชื่อ ‘Casio Casiotron QW02’ ในปี 1974 รวมถึงการจำหน่ายเครื่องมือเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องดนตรีคีย์บอร์ดไฟฟ้า ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1980 แต่ที่ฮือฮาที่สุดเห็นจะเป็นการเปิดตัวนาฬิกา G-SHOCK รุ่นแรก ‘DW-5000C’ ในปี 1983 ซึ่งมีความทนทานสูง และกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกมาจนถึงปัจจุบัน

รุกตลาดประเทศไทย

Casio เริ่มเข้ามาทำตลาดในไทย ช่วงปลายทศวรรษ 1980 ถึงต้น 1990 ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลายราย โดยในช่วงแรกจำหน่ายเฉพาะนาฬิกาและเครื่องคิดเลข ก่อนจะขยายเป็นคีย์บอร์ด, กล้องดิจิทัล และอื่น ๆ ในภายหลัง ทั้งนี้ ในการขยายธุรกิจเข้ามายังประเทศไทยของ Casio นั้น ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ G-SHOCK และ BABY-G ทางแบรนด์จึงมีการขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบัน Casio ได้จัดตั้งบริษัทในประเทศไทยจำนวน 2 บริษัท ได้แก่

1.บริษัท คาสิโอ (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2530 โดยมีบทบาทในการเป็นโรงงานผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ ได้แก่ นาฬิกา Casio เช่น G-SHOCK, BABY-G รวมถึงผลิตเครื่องคิดเลขและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อีกทั้งเป็นหนึ่งในฐานการผลิตหลักของ Casio ทั่วโลก

งบ 5 ปีย้อนหลัง

ปี 2563 มีรายได้รวม 9,416.37 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 507.70 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 7,391.35 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 255.09 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 8,834.71 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 266.41 ล้านบาท
ปี 2566 มีรายได้รวม 7,984.37 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 287.26 ล้านบาท
ปี 2567 มีรายได้รวม 8,171.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 291.49 ล้านบาท
2.บริษัท คาสิโอ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2557 โดยมีบทบาทหลักในการตลาดและจัดจำหน่าย ได้แก่ นำเข้าสินค้า Casio และจัดจำหน่ายในประเทศไทย, ทำการตลาด โปรโมชัน โฆษณา และบริการหลังการขาย และดูแลการรับประกันและศูนย์บริการลูกค้า

งบ 5 ปีย้อนหลัง

ปี 2563 มีรายได้รวม 1,212.89 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 34.06 ล้านบาท
ปี 2564 มีรายได้รวม 859.00 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 18.55 ล้านบาท
ปี 2565 มีรายได้รวม 931.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 20.42 ล้านบา
ปี 2566 มีรายได้รวม 1,164.74 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 20.24 ล้านบาท
ปี 2567 มีรายได้รวม 993.72 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 17.15 ล้านบาท
จากงบการเงินดังกล่าว จะเห็นได้ว่า Casio ยังคงมีความสามารถในการทำรายได้และกำไรต่อเนื่อง แม้จะมีการปรับตัวลดลงบ้างในบางปี แต่ถือว่ายังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ Facebook Fanpage “CASIO Watches Thailand” ซึ่งเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์หลักของแบรนด์ ได้มีการออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Casio จะยุบสาขาในประเทศไทย โดยระบุว่า ปัจจุบัน Casio ยังดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ดังนั้นข่าวลือดังกล่าวจึงเป็นเพียง ‘Fake News’ เท่านั้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...