โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ท่องเที่ยว

ปรากฏการณ์แสงสีแห่งศรัทธา

เดลินิวส์

อัพเดต 12 ก.ค. เวลา 14.47 น. • เผยแพร่ 12 ก.ค. เวลา 07.47 น. • เดลินิวส์
แล้ววันนี้อภิมหาเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ เทียนพรรษาจำลองขนาดใหญ่ที่อยู่กลางทุ่งศรีเมือง ก็ไม่ใช่เพียงแค่ประติมากรรมที่เป็นสัญลักษณ์ของอุบลราชธานี ที่เรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงของ “ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา” ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบของในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ทั้งยังเป็นดั่งสถานที่หลอมรวมจิตศรัทธาของชาวอุบลราชธานีให้เป็นหนึ่งเดียว แต่เป็นหนึ่งใน 11 จุด ของงานประดับไฟ “VIJIT GASTRONOLIGHT @อุบลราชธานีศรีศิลป์” ปรากฏการณ์แสงสีที่เนรมิตยามค่ำคืนของเมืองอุบลราชธานีให้เปล่งประกาย

งานนี้ดึง 2 แนวคิดจาก 5 Must Do in Thailand” ได้แก่ Must See และ Must Taste มาไว้ในงานเดียวกัน ภายใต้แนวคิด “วิจิตรแสงศรัทธา เมืองธรรมรุ่งเรือง” ถ่ายทอดการเดินทางจาก "แสงแห่งศรัทธา" สู่ "ศิลป์แห่งชีวิต" ที่หลอมรวมความเชื่อ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเข้าด้วยกัน ผ่านการจัดแสดงแสง สี และงานออกแบบร่วมสมัย โดยนำเทคนิคใหม่ผสมผสานกับการสร้างสีสันบรรยากาศยามค่ำคืนให้กับสถานที่สำคัญ ๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี ด้วยนวัตกรรมแสง สี เสียง และสื่อประสมที่ทันสมัย หรือ Projection Mapping & Lighting เชื่อมโยงวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับศิลปะร่วมสมัยอย่างสร้างสรรค์ สะท้อนอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของอุบลราชธานีในฐานะเมืองท่องเที่ยวที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์ ครอบคลุมพื้นที่สำคัญของเมืองอุบลราชธานีจำนวน 11 จุด

เริ่มที่ "แสงเทียนศรีอุบล รวมใจศรัทธา" ณ อภิมหาเทียนพรรษาเฉลิมพระเกียรติ ในทุ่งศรีเมือง จุดที่ 2 "บัวงามกลางศรีศิลป์ ศรีแผ่นดินอีสาน" ณ สนามหญ้า ในทุ่งศรีเมือง จุดที่ 3 "แสงแห่งแผ่นดิน ถิ่นตำนานอุบล” ณ อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี จุดที่ 4 “ไทรศิลป์แสงเงา เล่าขานเมือง" ณ ต้นไทรย้อย อาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อุบลราชธานี จุดที่ 5 "ผดุงแสงสาร สื่อศิลป์เมือง" ณ ตึกโรงพิมพ์ผดุงสาร จุดที่ 6 การแสดง "แสงสุปัฏ - ธรรมบูชาแห่งอุบล" ณ วัดสุปัฏนารามวรวิหาร จุดที่ 7 "แสงอุ่นละไม ปลายทางแห่งศิลป์" ณ ตึกเหลือง จุดที่ 8 "ทองศิลป์วิจิตรศรี" ณ ห้างทองสินประเสริฐ จุดที่ 9 "หลวงธรรมล้ำค่า แสงศรัทธาเหนือกาล" ณ วัดหลวงอุบลราชธานี จุดที่ 10 "หอธรรม เรืองรอง ทองแห่งธรรม" ณ หอไตรกลางน้ำ วัดทุ่งศรีเมือง และจุดที่ 11 "วนาแสงวิมุตติพุทธศิลป์" ณ วัดมหาวนาราม พระอารามหลวง

ในส่วนของ Must Taste นั้น เป็นการจัดกิจกรรมการออกร้านจำหน่ายอาหารพื้นถิ่นจำนวน 25 ร้าน เพื่อจุดประกายแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยวไปยังชุมชนที่เป็นต้นกำเนิดวัตถุดิบ ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของอาหารไทย อาหารถิ่น และวัฒนธรรมด้านอาหารที่หลากหลายของประเทศไทย งาน “VIJIT GASTRONOLIGHT @อุบลราชธานีศรีศิลป์” จะเปิดไฟให้ได้ไปแชะและแชร์จนถึง 16 กรกฎาคม 2568 เวลา 18.00–23.00 น.

ไปเยือนอุบลฯในช่วงเข้าพรรษา แน่นอนว่าจะต้องไปชื่นชมกับประติมากรรมเทียนพรรษาที่แต่ละวัดรังสรรค์อย่างวิจิตรบรรจง และหนึ่งในแชมป์หลายสมัยก็คือ “วัดพระธาตุหนองบัว” โดยเป็นหนึ่งในชุมชนทำเทียนพรรษาประเภทแกะสลักขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการยอมรับว่ามีความงดงาม แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนมาเยือนวัดแห่งนี้แม้ไม่ใช่ช่วงเทศกาลเข้าพรรษาก็คือ “พระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์” ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ครบรอบ 25 ศตวรรษของพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2500 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รอบองค์พระธาตุเป็นกำแพงแก้ว ทั้ง 4 มุมประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็กอีก 4 องค์ ภายในองค์พระธาตุมีประตูทางเข้าทั้ง 4 ด้าน พระธาตุองค์เดิมมีขนาดกว้างด้านละ 5 เมตร สูงประมาณ 17 เมตร เมื่อสร้างใหม่ครอบองค์เดิมที่เห็นในปัจจุบันมีขนาดใหญ่มาก ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 17 เมตร สูง 56 เมตร เสร็จสมบูรณ์ในปี 2512

บริเวณด้านหน้าพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์มีรูปปั้นพญานาคราชองค์ใหญ่ 2 องค์ประดิษฐานเคียงคู่กัน สร้างขึ้นจากนิมิตของเจ้าอาวาสวัดพระธาตุหนองบัว พญานาคราชนามว่า “ท่านปู่กริชกรกต” กับ “ท่านย่ามณีเกตุ” เป็นพญานาคสีรุ้ง หรือพญานาคฉัพยาปุตตะ หนึ่งใน 4 ของพญานาคทั้งหมด 4 ตระกูล ตามตำนานเล่าว่าเป็นพญานาคอาศัยอยู่ในนครบาดาลหรือป่าลึก มีผิวกายหรือเกล็ดหลากสีสันเป็นสีรุ้ง สองพญานาคราชได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างวิจิตรสูงถึง 15 เมตร ยาว 58.85 เมตร ท่วงท่าอ่อนช้อยงดงามราวกับกำลังเคลื่อนไหว

ส่วน “วัดสิรินธรวราราม” หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า “วัดภูพร้าว” เจ้าของภาพพระอุโบสถเรืองแสงที่มีสถาปัตยกรรมงานงาม แม้จะเป็นช่วงเวลากลางวันความงดงามก็ไม่ได้ลดน้อยเลย ด้วยวัดนี้ตั้งอยู่บนภูเขา จึงกลายเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม มองเห็นทัศนียภาพอ่างเก็บน้ำและจุดผ่านแดนถาวรช่องเม็ก สร้างโดย พระอาจารย์บุญมาก ซึ่งเป็นชาวลาวจำปาสักเข้ามาเผยแผ่วิปัสสนากรรมฐานในฝั่งไทย และได้ปักกลดที่ภูพร้าวแห่งนี้ ต่อมาราวปี พ.ศ. 2516 ท่านได้ขอบิณฑบาตพื้นที่จากทางราชการให้เป็นวัด ทางอำเภอจึงให้ตั้งชื่อวัดว่าวัดสิรินธรวราราม

หลังจากพระอาจารย์บุญมากต้องกลับประเทศลาว ทิ้งให้วัดร้างนานหลายสิบปี จนกระทั่งปี พ.ศ.2542 พระครูกมล ลูกศิษย์ของท่านได้ค้นพบวัดอีกครั้งและบูรณะให้กลับมาเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมดังเดิม หลังจากพระครูกมลละสังขารไปในปี พ.ศ.2549 พระครูปัญญาได้เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาสและสานต่องานสร้างวัดซึ่งรวมทั้งต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงและการแต่งเติมพระอุโบสถ จิตรกรรมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสงที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถนั้น ในเวลาพลบค่ำต้นกัลปพฤกษ์จะเรืองแสงโดดเด่นสะดุดตา ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาชมและถ่ายภาพ คือ ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ซึ่งภาพจะยิ่งเด่นชัดขึ้นในช่วงคืนเดือนมืด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...