โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

คัมภีร์ลงทุนแบบ ดร.นิเวศน์ ประจำปี 2025

Finnomena

อัพเดต 26 มิ.ย. เวลา 08.30 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. เวลา 07.16 น. • จิรัฐิติ ขันติพะโล

ตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ กำลังเผชิญกับ “ความสิ้นหวัง” มากกว่าวิกฤตใดๆ ในอดีตที่ผ่านมา หุ้นหลายตัวร่วงลงเกินครึ่ง แต่ไร้แรงซื้อกลับ ตลาดไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะฟื้นตัวในระยะสั้นหรือยาว ไม่ใช่แค่นักลงทุนทั่วไปที่ท้อแท้

แม้แต่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบ VI ระดับตำนานของไทย ยังยอมรับว่านี่คือช่วงเวลาที่ “ยากลำบากที่สุด” นับตั้งแต่เริ่มลงทุนมา จุดที่น่ากลัวไม่ใช่แค่ราคาหุ้นที่ลดลง แต่คือการที่เศรษฐกิจไทยไร้แรงส่ง ไม่มีปัจจัยหนุนระยะยาว และไม่เห็นโอกาสในการเติบโตเชิงโครงสร้าง นักลงทุนจึงต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เพื่อเอาตัวรอดให้ได้

เมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่เอื้อต่อการเติบโต นักลงทุนจึงไม่อาจฝากอนาคตไว้กับตลาดหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป นั่นจึงเป็นที่มาของการปรับพอร์ตครั้งสำคัญของ ดร.นิเวศน์ ที่ได้เล่าแนวคิด และวิธีการลงทุนผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา เป็นคัมภีร์ลงทุนแบบ ดร.นิเวศน์ ประจำปี 2025 ดังนี้

30-30-30-10 กระจายพอร์ตหุ้นไทย หุ้นโลก หุ้นเวียดนาม

จากสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นไทยขาดแรงเติบโตชัดเจน ดร.นิเวศน์ได้ปรับพอร์ตการลงทุนของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ โดยจัดพอร์ตออกเป็น 3 ส่วนหลักเท่าๆ กัน เปรียบเทียบกับโครงสร้างของทีมฟุตบอลที่มี “กองหลัง กองกลาง และกองหน้า”

หุ้นเวียดนาม 30% “กองหน้า” ที่เน้นการเติบโตระยะยาว

สัดส่วน 30% ของพอร์ตถูกจัดสรรไปยังตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งถูกมองว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงในระยะยาว แม้จะมีความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่เวียดนามยังคงมีจุดแข็งด้านโครงสร้างประชากรที่อายุน้อย ฐานการผลิตที่แข่งขันได้ และแรงส่งจากการย้ายฐานการผลิตจากจีนในระยะหลัง นอกจากนี้ ภาคอุตสาหกรรมและการบริโภคภายในประเทศกำลังเติบโตในลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศไทยในช่วงก่อนวิกฤตปี 2540 จึงถูกจัดให้อยู่ในบทบาท “กองหน้า” ซึ่งมีหน้าที่หลักคือสร้างการเติบโตของมูลค่าพอร์ต

หุ้นโลก 30% “กองกลาง” ที่สร้างสมดุลและเชื่อมโยงโอกาส

อีก 30% ถูกจัดสรรไปยังการลงทุนในหุ้นโลก ผ่านกองทุนรวมและ DR ที่เข้าถึงบริษัทขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น Microsoft, Apple, LVMH หรือแม้แต่ Alibaba การลงทุนส่วนนี้มีเป้าหมายเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากเศรษฐกิจไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมองหาความแข็งแกร่งจากโมเดลธุรกิจระดับโลก ความสามารถในการปรับตัวสูง และอัตราการเติบโตที่มั่นคงในระยะยาว หุ้นโลกในพอร์ตทำหน้าที่เสมือน “กองกลาง” ซึ่งคอยเชื่อมระหว่างความมั่นคงกับการเติบโต

หุ้นไทย 30% “กองหลัง” ที่เน้นความมั่นคงและรายได้ประจำ

แม้จะยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขาดแรงส่งเชิงโครงสร้าง แต่พอร์ตยังคงถือหุ้นไทยในสัดส่วน 30% โดยเน้นไปที่หุ้นปันผลมั่นคง กลุ่มสาธารณูปโภค ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และธุรกิจที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ จุดประสงค์หลักของการถือหุ้นไทยไม่ใช่เพื่อหวังการเติบโตเชิงราคาหุ้น แต่เพื่อให้เป็น “กองหลัง” ของพอร์ต คือช่วยลดความผันผวน รับรายได้ประจำ และรักษาสภาพคล่องในภาพรวม

เงินสด 10% กันชนในวันที่ตลาดผันผวน

นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้น 3 กลุ่มหลัก ยังมีการกันเงินสดไว้อีก 10% ของพอร์ต เพื่อใช้เป็นกันชนในช่วงตลาดมีความผันผวนสูง หรือเก็บไว้รอโอกาสลงทุนในจังหวะที่เหมาะสม การถือเงินสดยังช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด

สูตร 5-5-5-5 กลยุทธ์การลงทุนที่มั่นคงในยุคที่ไม่มี Growth

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดร.นิเวศน์ ยังมี “สูตร” ลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีปรับตัวลงตอเนื่อง เป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์การลงทุนในระยะยาวได้อย่างมั่นคง แม้ในสภาวะที่ไม่มี Growth

นี่คือจุดเริ่มต้นของแนวคิด “สูตร 5-5-5-5” ที่เน้นผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ ความอดทน และการทบต้นที่ทรงพลัง แทนการไล่ล่าหุ้นเติบโตที่ไม่มีอยู่จริงในระบบเศรษฐกิจแบบเดิม

“สูตร 5-5-5-5” นี้ประกอบไปด้วย

5% ปันผลจากกำไรปกติ

หัวใจของสูตรนี้คือการคัดเลือกหุ้นที่สามารถจ่ายปันผลได้ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปีจาก “กำไรปกติ” ของบริษัท ไม่ใช่จากกำไรพิเศษหรือรายการชั่วคราว หุ้นกลุ่มนี้มักเป็นบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ที่มีฐานธุรกิจมั่นคง รายได้สม่ำเสมอ เช่น กลุ่มธนาคาร โทรคมนาคม สาธารณูปโภค หรือ REITs ที่มีรายได้ค่าเช่าประจำ

ปันผลต่อเนื่อง 5 ปี

นักลงทุนต้องมั่นใจว่า ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า บริษัทนั้นจะยังสามารถรักษาระดับการจ่ายปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ตกต่ำหรือหายไป ซึ่งหมายถึงความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว และความมีเสถียรภาพของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินงานอยู่

ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว จาก 5 อุตสาหกรรม

เพื่อกระจายความเสี่ยง นักลงทุนควรเลือกหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวที่มาจากอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน ค้าปลีก และสุขภาพ การกระจายเช่นนี้จะช่วยลดผลกระทบจากปัจจัยเฉพาะในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง และสร้างความสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุน

ถือยาวอย่างน้อย 5 ปี เพื่อให้เห็นผลทบต้น

การลงทุนแบบปันผลต้องใช้ระยะเวลาในการออกดอกออกผล ไม่สามารถวัดความสำเร็จได้ภายในปีเดียว การถือครองระยะยาวจะทำให้เงินปันผลสะสมทบต้น และเมื่อราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจหรือแนวโน้มตลาด ก็จะเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติมจากเงินต้นอีกทางหนึ่ง

ในยุคที่หุ้นเติบโตกลายเป็นของหายาก และตลาดทุนไทยอยู่ในโหมดนิ่งมานาน นักลงทุนจึงไม่สามารถคาดหวังผลตอบแทนแบบเดิมได้อีกต่อไป ดร.นิเวศน์ จึงเสนอให้เปลี่ยนกรอบความคิดจาก “หาโอกาสจากวิกฤต” มาเป็น “การเอาตัวรอดในโครงสร้างที่ไม่เอื้อ” ผ่านสูตร 5-5-5-5 และการจัดพอร์ตที่เหมาะสมกับโลกยุคใหม่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...