โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

บาทแข็งค่ากระทบหนัก ข้าวไทยหยุดรับออร์เดอร์ ยางล้อรถยนต์ป่วนตาม

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 14 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่องกำลังกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในปี 2569 ที่จะมาถึง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก ภาคเอกชนเตือนต้นทุนเพิ่ม รายได้หด และความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งภาคเอกชนเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการดูแลอย่างเป็นรูปธรรม

นายเจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากเงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี แตะที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในเวลานี้ และมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอีก ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกข้าว โดยในรายที่ส่งสินค้าให้คู่ค้าไปแล้ว และรอการชำระเงินจะประสบภาวะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อแลกเงินดอลลาร์กลับมาเป็นเงินบาท ยกตัวอย่างเดือนที่แล้วค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ เวลานี้แข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้รายได้ของผู้ส่งออกที่ได้รับการชำระเงินค่าสินค้าแล้วจะหายไป 1 บาทต่อดอลลาร์

“ถ้าเราขายเป็นแสนตัน ตันหนึ่งรายได้รูปเงินบาทหายไปหลายร้อยบาท คูณตัวเลขเข้าไปก็จะเห็นว่าจะมีมูลค่าความเสียหายมหาศาล ส่งผลให้ผู้ส่งออกขายของได้น้อยลง เพราะข้าวไทยแพงขึ้นตามค่าเงินที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งเวลานี้เราไม่กล้าขายหรือกล้ารับออร์เดอร์ เพราะพอบาทแข็ง ราคาขายข้าว FOB (ราคาสินค้า ณ ท่าเรือ) ของเราก็สูงขึ้นตามไปด้วย แม้ราคาข้าวในประเทศเราจะเท่าอินเดีย แต่พอแปลงเป็นราคาส่งออกในรูปดอลลาร์เราก็จะแพงกว่าเขาตามค่าเงิน เมื่อเราแพงกว่า ลูกค้าก็จะไปซื้อจากที่อื่นแทน ซึ่งเวลานี้ออร์เดอร์ใหม่สำหรับปีหน้าเงียบมาก ราคาใหม่ที่ตั้งไว้ก็ขายไม่ได้เลย” นายเจริญ กล่าว

โดยราคาข้าวหอมมะลิที่ส่งไปสหรัฐอเมริกาในเวลานี้ต้องปรับขึ้นเป็น 1,150-1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากต้นปี 2568 เคยอยู่ที่ประมาณ 900 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ห่วงว่าหากเงินบาทยังแข็งค่าเช่นนี้ จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันส่งออกข้าวไทยในปีหน้า ที่จะขายสินค้าได้ลดลง เพราะเปรียบเทียบค่าเงินกับคู่แข่งส่งออกข้าวแล้ว ในส่วนของเวียดนามค่าเงินดองอ่อนค่าลง และเงินรูปีของอินเดียก็อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับต้นปี ทำให้ได้เปรียบในการแข่งขัน

ทั้งนี้ข้าวคร็อปใหญ่ในฤดูกาลผลิตใหม่ของอินเดียในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงการเก็บเกี่ยว คาดมีผลผลิตมากกว่า 150 ล้านตันข้าวสาร และข้าวเวียดนามจะเก็บเกี่ยวช่วงเดือนมีนาคม 2569 คาดจะมีผลผลิต 4-5 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งเวลานี้ข้าวขาว 5% ของไทยขายอยู่ที่ 400-410 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

ขณะที่ข้าวอินเดียอยู่ที่ 350-360 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ข้าวไทยแพงกว่าข้าวอินเดียประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน มีส่วนสำคัญจากเงินบาทที่แข็งค่ามาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันส่งออกข้าวไทยที่จะขายได้ลดลงในปีหน้า

ณ เวลานี้ทางสมาคมฯ ยังไม่ตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยปี 2569 จากปีนี้ (2568) คาดจะส่งออกได้ 7.7-7.8 ล้านตัน ซึ่งผลกระทบจากค่าเงินบาทที่ทำให้ไทยส่งออกข้าวได้ลดลง จะส่งต่อผลกระทบมายังราคาข้าวสาร และข้าวเปลือกในประเทศที่จะขายได้ในราคาที่ต่ำลงด้วย หากการแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้รับการกำกับดูแลและแก้ไขอย่างทันท่วงทีจากภาครัฐ

ด้านนายหลักชัย กิตติพล นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมยางพาราไทย กล่าวว่า เงินบาทที่แข็งค่า กระทบผู้ส่งออกยางพาราได้รับเงินบาทลดลง แต่ยางพารายังถือว่าโชคดีกว่าสินค้าประเภทอื่น เพราะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ที่ราคาปรับตัวขึ้น-ลงตามกลไกตลาด สามารถปรับเปลี่ยนราคาขายเพื่อส่งผ่านภาระไปยังผู้นำเข้าตามสถานการณ์ ส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากคือสินค้ายางพาราแปรรูป เช่น ยางล้อรถยนต์ที่ไม่สามารถปรับขึ้นราคาขายได้ทันที

“ปกติผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่จะทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้อยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้นหากเงินบาทแข็งค่าก็อาจเกิดความเสียหายหนัก สำหรับบริษัทเราเองปีหนึ่งส่งออกยางพารามูลค่ากว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ หากเงินหายไปเพียง 1 บาทต่อดอลลาร์ก็จะหายไปถึง 2,000 ล้านบาท ซึ่งเรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ อย่างไรก็ตามในส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีบางรายที่ไม่ได้ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ก็จะได้รับผลกระทบอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” นายหลักชัย กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...