โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คณะราษฎรพลิกบทบาทกองโฆษณาการ : จากต่อต้านสู่เผยแพร่ประชาธิปไตย (3)

มติชนสุดสัปดาห์

อัพเดต 02 ส.ค. 2566 เวลา 02.41 น. • เผยแพร่ 02 ส.ค. 2566 เวลา 02.37 น.

My Country Thailand | ณัฐพล ใจจริง

คณะราษฎรพลิกบทบาทกองโฆษณาการ

: จากต่อต้านสู่เผยแพร่ประชาธิปไตย (3)

คณะราษฎรความพยายามเผยแพร่การปกครองใหม่

ภายหลังการปฏิวัติ 2475 คณะราษฎรพยายามเผยแพร่ระบอบประชาธิปไตย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย

ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการปฏิวัติ คณะราษฎรส่งตัวแทนไปปาฐกถาชี้แจงยังโรงเรียนมัธยม เช่น ที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย โรงเรียนมัธยมวัดเทพศิรินทร์ โรงเรียนมัธยมวัดปทุมคงคา และโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร โรงเรียนกฎหมาย โรงเรียนแพทย์ศิริราชและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อแสดงปาฐกถาเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ (ศรัญญู เทพสงเคราะห์, 2566, 130-134)

แต่เมื่อพระยามโนฯ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกได้ ความเป็นอนุรักษนิยมของรัฐบาลชุดแรกปรากฏผ่านการแปรเปลี่ยนสาระสำคัญของเนื้อหารัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 (ฉบับคณะราษฎร) ที่ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนและสภาผู้แทนฯ มีอำนาจสูงสุดไปสู่รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 แล้ว โดยรัฐบาลไม่ส่งเสริมการเผยแพร่ความรู้แก่สังคมเกี่ยวกับการปกครองใหม่อีกต่อไป ตลอดจนพยายามรอนอำนาจและปรามปรามคณะราษฎร จนกระทั่งคณะราษฎรรัฐประหารล้มรัฐบาลอนุรักษนิยมนี้ลง (20 มิถุนายน 2476)

ภายหลังที่คณะราษฎรปกป้องการปฏิวัติ 2475 จากรัฐบาลพระยามโนฯ ที่พยายามโต้ปฏิวัติและก่อกบฏบวรเดชแล้ว

รัฐบาลใหม่ของพระยาพหลฯ ตระหนักในการเผยแพร่ความรู้เรื่องการปกครองใหม่ รวมทั้งความตระหนักในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะประชาชนในชนบทพื้นที่ห่างไกล

รัฐบาลสนใจการเผยแพร่ความรู้การปกครองใหม่แก่ประชาชน ในต้นเดือนตุลาคม 2476 เกิดแนวคิดว่าทำอย่างไรจึงจะให้รัฐธรรมนูญมั่นคง

ต่อมา ปรีดี พนมยงค์ มีแผนการที่จะเผยแพร่แนวคิดเรื่องรัฐธรรมนูญ ทั้งการจัดงานฉลองรัฐธรรมนูญ ไปจนถึงโครงการส่งหน่วยโฆษณาการลงพื้นที่ทุกตำบลเพื่อเผยแพร่การปกครองใหม่ (silpa-mag.com/history/article 51893)

ทว่าในกลางเดือนตุลาคม 2476 นั้นเอง เกิดกบฏบวรเดช กลุ่มอนุรักษนิยมยกกองทัพจากหัวเมืองเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อปราบปรามคณะราษฎรเสียก่อน ส่งผลให้โครงการชะงักลง

ภายหลังการปราบกบฏบวรเดชแล้ว เมื่อเดือนธันวาคมปี 2476 นั้นเอง รัฐบาลเดินหน้าการเผยแพร่ความรู้การปกครองใหม่และสร้างองค์กรปกป้องระบอบประชาธิปไตยขึ้น ด้วยการก่อตั้งสมาคมคณะรัฐธรรมนูญ มีจุดประสงค์ 4 ประการ คือ

1. สนับสนุนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม

2. ปลูกความสามัคคีในระหว่างชนชาวสยามด้วยกัน

3. ช่วยรัฐบาลและประชาชนในอันจะยังความเจริญให้บังเกิดแก่ชาติและราษฎรทั่วไปตามวิถีแห่งรัฐธรรมนูญ

และ 4. อมรบสมาชิกให้มีคุณลักษณะที่สามารถทำประโยชน์แก่ชาติยิ่งขึ้น (silpa-mag.com/history/article 51893)

ภารกิจสร้างความรู้ความเข้าให้ประชาชน

ภายหลังจากคณะราษฎรปราบกบฏบวรเดชลงแล้ว รัฐบาลมุ่งวางรากฐานและสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในชนบทเป็นอย่างมาก จึงขอความช่วยเหลือจากเหล่า ส.สที่อยู่ในพื้นที่ช่วยปาฐกถาเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนด้วย

เมื่อสิ้นสุดสมัยประชุมสภาในปีนั้น (2476) มี ส.ส.เข้าร่วมงานเผยแพร่จำนวน 24 คน โดยรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าพาหนะให้ (สุวิมล, 24-25)

ต้นปี 2477 จำรัส มหาวงศ์นันทน์ ส.ส.น่าน เรียกร้องให้รัฐบาลจัดทำรัฐธรรมนูญจำลองให้แก่จังหวัดต่างๆ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า การปกครองใหม่นั้น หาใช่การยึดถือตัวบุคคลตามแบบเดิม แต่มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักของบ้านเมือง

ต่อมารัฐบาลจัดสร้างรัฐธรรมนูญจำลองแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม ปี 2477 โดยส่งไปตามจังหวัดต่างๆ 69 ชุด อีก 1 ชุด สำหรับที่ทำการใหญ่ของสมาคมที่พระราชอุทยานสราญรมย์ (silpa-mag.com/history/article 51893)

ข้าราชการอีสานสนับสนุนระบอบใหม่

ภายหลังการปฏิวัติ 2475 ปรากฏว่า มีราชการมหาดไทยตามหัวเมืองให้สนับสนุนการปฏิวัติด้วยการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน

ดังเช่นข้าราชการมหาดไทยอีสาน ชื่อ ขุนพรมประศาสน์ (วรรณ พรหมกสิกร) นายอำเภอเขื่องใน อุบลราชธานี เขาแต่งหนังสือคำกลอนอีสานเรื่อง เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดินสยาม (ตุลาคม 2475) และอีกเล่ม คือ คำกลอนพากย์อีสานบรรยายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม (2478) ขึ้น

ด้วยงานเขียนของขุนพรมฯ ต้องการบอกชาวอีสาน จึงใช้รูปแบบ “กลอน” และแต่งโดยใช้ภาษาถิ่น หากเป็นศัพท์เฉพาะ เช่น รัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ เขาจะขยายความศัพท์เหล่านี้ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ ด้วยยกตัวอย่างเปรียบเทียบในชีวิตประจำวัน เช่น หน้าที่ของผู้แทนราษฎรเปรียบเหมือนผัวไปทำหน้าที่เจรจาความต่างๆ แทนเมีย ว่า

“เฮาบ่อไปผู้แทนนั้นขันไปแทนก็หากแม่น เทียมดังผัวแล่นเว้าความถ้อยแก้ต่างเมีย” หรือเปรียบเปรยการทำงานของคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรว่าเหมือน “รัฐบาลเป็นผู้ไส้สับคั่วลาบก้อย แล้วจั่งหามหาบให้สภาได้รสชิม ยามเมื่อชิมจางจืดให้เอาเกลือลงตื่ม จนให้นัวแซบดีแล้วจั่งค่อยเอา” (ประวิทย์ สายสงวนวงศ์, 2562, 420)

นอกจากนั้น เขาใช้ผญาและฮีตคองอีสานสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้อ่าน ผู้ฟัง ขณะที่กลอนพาผู้อ่านหรือผู้ฟังไปสู่เนื้อหาสาระทางการเมืองและวีรกรรมของคณะราษฎร ดังว่า

“บัดนี้ ข้าจักเล่าพากย์พื้นเปลี่ยนการปกครอง ตามทำนองปกครองประเทศ สยามเขตต์บ้านถิ่นเมืองไทย…มิถุนาวันที่ซาวซี่ จำให้ถี่ปี วอกวันศุกร์…ท่านผู้กล้าเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทั้งผองมีรวมกันหลายเหล่า…พร้อมพ่า หน้าข้าราชการ มีทหารพลเรือนหลายหลั่น นอกว่านั้นยังมีชาวนา กรรมกรชาวสวนส่วนน้อย บ่อต่า ต้อยล้วนแต่คนดี ล้วนแต่มีวิชชาความฮู้”

“เฮาทุกคนเจ้าของอำนาจ”

เมื่อจุดมุ่งหมายของการปฏิวัติของคณะราษฎรคือการเปลี่ยนอำนาจการปกครองจากพระมหากษัตริย์มาสู่ราษฎรและให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองเช่นเดียวกับชาติอื่นๆ จึงขอให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด ดังความว่า

“กฎหมายว่าอำนาจสูงสุด จุดที่หมายเป็นของไพร่ราษฎร เป็นอำนาจทั่วๆ กันไป บ่อมีไผได้อำนาจลื่น”

ขุนพรมฯ อธิบายสาเหตุของการปฏิวัติว่าเป็นพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ใช่เพราะว่าคณะราษฎรจะแย่งชิงพระราชอำนาจหรือลดทอนพระเกียรติคุณของพระมหากษัตริย์ แต่เป็นเพราะระบอบเก่าอำนาจสิทธิขาดอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ย่อมไม่อาจจะปกครองดูแลทุกข์สุขของไพร่ฟ้านับล้านคนได้ทั่วถึง

ระบอบเดิม “บ่อฟังเสียงปากกบปากเขียด”

ขุนพรมฯ เห็นว่า แม้จะมีเสนาบดี ข้าหลวงช่วยราชการก็ตาม แต่ก็มีหลายคนที่ประพฤติมิชอบ ด้วยโลภะ โทสะ โมหะ คนพวกนี้นั้น “บ่อฟังเสียงปากกบปากเขียด” ไม่สนใจทุกข์สุขของราษฎร

เวลานี้ประเทศเปลี่ยนแปลง ราษฎรมีการศึกษามากขึ้น ประชากรมีมากขึ้น ปัญหาของบ้านเมืองก็มีมากขึ้นตามไปด้วย ระบอบเก่าจึงไม่อาจตอบสนองได้อีกต่อไป สถานการณ์เช่นนี้นามาสู่ความจำเป็นในการปฏิวัติของคณะราษฎร

การปกครองใหม่มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดดีกว่าระบอบเก่าเพราะการปกครองไม่ขึ้นกับบุคคลเพียงคนเดียว แต่แบ่งแยกอำนาจปกครองออกเป็น 4 ชั้นได้แก่

ชั้นที่ 1 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของบ้านเมือง

ชั้นที่ 2 สภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งของพลเมือง ซึ่งราษฎรจะเป็นผู้เลือกผู้แทนตำบล จากนั้น ผู้แทนตำบลก็จะไปเลือกผู้แทนจังหวัด เขาย้ำให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังตระหนักว่า “เฮาทุกคนเจ้าของอำนาจ”

ชั้นที่ 3 คณะกรรมการราษฎรหรือคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดินรับผิดชอบต่อสภา

และชั้นที่ 4 ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีต่างๆ รวมถึงพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคกัน

ดังนั้น ระบอบรัฐธรรมนูญและหลัก 6 ประการของคณะราษฎรจึงเป็นของดีของสูงที่พี่น้องทุกคนต้องช่วยกันรักษา ด้วยการสนับสนุนรัฐบาล ตั้งใจทำมาหากิน ปฏิบัติตนตามกฎหมายเพื่อให้ระบอบรัฐธรรมนูญสถิตสถาพรต่อไป (ประวิทย์, 223-224)

กล่าวโดยสรุปแล้ว สาระหนังสือของขุนพรมฯ พยายามอธิบายว่า การปกครองแบบใหม่นั้นมิได้ยึดถือบุคคลเป็นหลัก แต่ยึดถือกฎหมายเป็นสิ่งสูงสุด การปกครองใหม่ให้มีอำนาจสูงสุด ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดมีอำนาจเหนือผู้อื่น ดังนั้น การปกครองใหม่ให้ประชาชนมีอำนาจสูงสุด และมีรัฐธรรมนูญจำกัดอำนาจของกษัตริย์ให้อยู่ใต้กฎหมาย (ศรัญญู, 2562, 30-31)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...