ระบบการเลือกตั้ง ส.ส. ของประเทศไทย | ขั้นตอนการเลือกตั้ง + Primary Vote คืออะไร?
การเลือกตั้งของประเทศไทย เป็นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศไทย อาทิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร, วุฒิสภา, ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, ผู้ว่าเมืองพัทยา และผู้บริหารท้องถิ่นอื่น ๆ โดยการให้ประชาชนออกเสียงเลือกบุคคลที่เห็นสมควร
เข้าใจง่าย ๆ ระบบการเลือกตั้ง ส.ส. ของประเทศไทย
สำหรับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศไทย เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2476 เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์กบฏบวรเดชยุติลงในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2476 เมื่อ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีได้แถลงต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลได้ปราบกบฏเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่สภาพปกติ จึงได้มีการจัดการเลือกตั้งขึ้นมา
โดยการเลือกตั้งเป็นวิถีทางหนึ่งตามหลักประชาธิปไตย เพื่อให้ประชาชนได้คัดเลือกบุคคลหรือตัวแทนไปทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์ของตน สังคม และประเทศชาติ ปัจจุบันการเลือกตั้งในประเทศไทยแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่
1.ระดับชาติ แบ่งออกเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
- ระดับท้องถิ่น ระดับท้องถิ่น แบ่งออกเป็น สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น
กำหนดการวันเลือกตั้ง ปี 2562
เลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ หน่วยเลือกตั้งที่ท่านมีชื่ออยู่
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งได้มาจากการเลือกตั้ง จำนวน 500 คน ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี โดยแบ่งสมาชิกออกเป็น 2 ประเภท คือ
- แบบแบ่งเขต จำนวน 350 คน (ทั่วประเทศมี 305 เขต เขตละ 1 คน)
- แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 150 คน
หน้าที่ของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีดังนี้
- พิจารณาร่างกฎหมาย
- ตรวจาสอบรัฐบาลและควบคมุการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
- ให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญ ๆ เช่น การเห็นชอบบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นต้น
รู้ทันเลือกตั้งกับ กกต. ตอน ส.ส. ในสภามาจากไหน?
https://www.youtube.com/watch?v=_bWyDxZZ7AE
สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 200 คน ดำรงตำแหน่งคราวละ 5 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว
ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี พ.ศ. 2560 กำหนดว่าระยะเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก 200 คน ดำรงตำแหน่งเพียง 5 ปี เป็นได้วาระเดียว โดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้คัดเลือกบุคคล ซึ่งมาจากวิธีการเลือก สรรหา และแต่งตั้ง ดังนี้
1. ผ่านการเลือกกันเองของพลเมือง ประชาชน บุคคลที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะ หรือประโยชน์ร่วม หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม ตั้งแต่ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ จำนวน 50 คน
- ผ่านคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 194 คน
3. สมาชิกวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ประกอบด้วย ผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จำนวน 6 คน
หน้าที่ของ สมาชิกวุฒิสภา มีดังนี้
- กลั่นกรองกฎหมาย ที่ผ่านการพิจารณาของ ส.ส.
- ตรวจสอบและควบคุม การบริหารราชการแผ่นดิน
- ให้ความเห็นชอบบุคคลในการดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ (ตามรัฐธรรมนูญ)
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
- มีสัญชาติไทย แต่บุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้สัญชาติไทยมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 ปี
- อายุไม่น้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ในวันเลือกตั้ง
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้ว เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน (นับถึงวันเลือกตั้ง)
ลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
- เป็นพระสงฆ์ สามเณร นักพรต หรือนักบวช
- เป็นบุคคลที่ถูกเพิงถอนสิทธิการเลือกตั้ง
- ต้องคุมขังโดยหมายของศาล หรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
- วิกลจริต จิตฟั่นเฟือน หรือไม่สมประกอบ
ขั้นตอนในการลงคะแนนเสียง (เลือกตั้ง)
- ตรวจสอบรายชื่อหน้าหน่วยเลือกตั้ง
- ยื่นหลักฐานแสดงตน ได้แก่ บัตรประชาชนหรือบัตรราชการ ที่มีรูปถ่ายและมีเลขประจำตัวประชาชนจำนวน 13 หลัก
- รับบัตรเลือกตั้ง 1 ใบ และลงลายมือชื่อ หรือพิมพ์ลายนิ้วหัวแม่มือขวาบนต้นขั้วบัตรเลือกตั้ง
- เข้าคูหา ทำเครื่องหมายกากบาทลงบทช่องคะแนน
- พับและหย่อนบัตรลงหีบบัตรเลือกตั้งด้วยตนเอง
สาระน่ารู้… Primary Vote
การเลือกตั้งของประเทศไทยในครั้งนี้เป็นรูปแบบใหม่ นั่นก็คือรูปแบบ Primary Vote ถ้าแปลแบบตรงตัวก็คือ เลือกก่อน ถ้าจะให้ขยายความให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นก็คือ การเลือกตั้งขั้นต้นที่สมาชิกพรรคทุกคนมีสิทธิลงคะแนนเสียง เพื่อเลือกคนที่ลงสมัคร หรือ Candidate ของพรรคก่อน ซึ่งเป็นวิธีการเลือกตั้งขั้นต้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด การเลือกตั้งแบบ Primary Vote แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่
1. แบบปิด คือ ให้สิทธิสมาชิกพรรคเท่านั้นในการลงคะแนน
2. แบบเปิด คือ ทุกคนสามารถลงคะแนนได้หมด ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคหรือประชาชานทั่วไป ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ทุกคนมีโอกาสลงความเห็นก่อนว่าจะเลือกใครลงสมัครเลือกตั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนผู้มีสิทธิ์ทุกคนจะได้เลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งด้วยตนเอง โดยรายชื่อผู้ลงสมัครพรรคจะเป็นคนกำหนดมาว่ามีใครบ้าง ใครได้รับคะแนนมากที่สุดก็เอาลงมาสมัครอย่างเป็นทางการในลำดับต่อไป
ข้อดีของ Primary Vote
แน่นอนเลยว่ารูปแบบ Primary Vote จะช่วยทำให้ลดจำนวนผู้สมัครหรือคัดสรรผู้สมครให้มีจำนวนลดลง ซึ่งถือได้ว่าเป็นประโยชน์ทั้งต่อพรรคเอง และต่อประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผู้มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเสียงได้มีส่วนร่วมในการคัดกรองผู้สมัครที่มีความสามารถมาเป็นตัวแทนของประชาชน เพื่อพัฒนาและบริหารประเทศต่อไป
คุณสมบัติของพรรคการเมือง
สำหรับพรรคการเมืองที่สามารถส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้
1. มีสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดในเขตพื้นที่เลือกตั้งนั้น ๆ
2. พรรคการเมืองจะต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ได้รับเลือกมาจากสาขาพรรคการเมือง หรือเป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด
3. พรรคการเมืองที่จัดตั้ง หรือพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 (พรรคเก่า) จะต้องดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 53/2560 แต่หากพรรคการเมืองปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วนจะไม่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้
อ้างอิงข้อมูลจาก : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, www.ect.go.th, news.mthai.com, Youtube : Krirkrit Sukprasert
บทความที่น่าสนใจ
- เริ่มแล้ว! กกต. เปิดให้ขอใช้สิทธิ เลือกตั้งล่วงหน้า
- วิธีการเลือกตั้ง ด้วยกติกาใหม่ สรุปแล้วเลือกตั้งปี 62 ต้องทำอย่างไรบ้าง
- เลือกตั้งต้องมีอายุเท่าไร? คุณสมบัติของ ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง และไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง
- เรียนรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับการเลือกตั้ง – ไม่แน่อาจจะมีในข้อสอบ #dek62 ต้องรู้
- First Time Voters ชวนเยาวชนไทย คนรุ่นใหม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง