โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง : Orange Is the New Black ปิดตำนาน 7 ปี ซีรีส์เรือธงเน็ตฟลิกซ์

MATICHON ONLINE

อัพเดต 25 ส.ค. 2562 เวลา 08.35 น. • เผยแพร่ 25 ส.ค. 2562 เวลา 08.32 น.

“รีด แฮสติงส์” ซีอีโอ และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง มีเดียสตรีมมิ่งดัง “เน็ตฟลิกซ์” (Netflix) เคยบอกไว้อย่างภูมิอกภูมิใจว่า คู่แข่งของเน็ตฟลิกซ์ คือ “เวลานอน” เพราะความมั่นใจที่ธุรกิจนี้นำโด่งและไร้คู่แข่งจากบริษัทอื่นๆ ด้วยโมเดลปฏิวัติวงการทีวีและบันเทิง คือ สร้างซีรีส์ที่ปล่อยให้ดูรวดเดียวจบทั้งซีซั่น พร้อมกับการให้บริการสตรีมมิ่งแบบเก็บเงินรายเดือน และเสริมจุดขายคอนเทนต์ที่เน็ตฟลิกซ์ลงทุนสร้าง Original Content ที่แจ้งเกิดซีรีส์ดังๆ ไว้

แต่ผ่านไปหลายปีซีรีส์เหล่านี้ก็ต้องถึงวันจบ “House of Cards” ถึงบทอวสานซีซั่น 6 ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และล่าสุดซีรีส์ดังอย่าง “Orange Is the New Black” ที่สร้างต่อเนื่องมาถึง 7 ปี ก็มาถึงบทสรุปสุดท้ายเช่นกัน

ซีรีส์ Orange Is the New Black นั้น ปรับบทมาจากเวอร์ชั่นหนังสือที่มาจากเรื่องจริงของ “ไพเพอร์ เคอร์เมน” หญิงชนชั้นกลางที่เคยมีประสบการณ์เข้าไปติดคุกอยู่ 1 ปีจากคดีพัวพันการค้ายาเสพติด

ปีแรกที่ซีรีส์ออกสตรีมมิ่ง กลายมาเป็น“ม้ามืด” ขวัญใจคนดูและนักวิจารณ์สหรัฐ

ในบ้านเราเรื่องนี้ความนิยมอาจจะไม่เท่า House of Cards ซีรีส์เรือธงอีกเรื่องของเน็ตฟลิกซ์ เนื่องจาก เนื้อหามีความเฉพาะตัวอยู่พอสมควร

Orange Is the New Black เป็นเรื่องราวในเรือนจำหญิงนอกกรุงนิวยอร์ก ที่มีนักโทษมาอยู่รวมกัน ความสนุกของเรื่อง คือนักโทษแต่ละคนล้วนมี “เรื่องเล่า” ของตัวเองก่อนจะมาลงเอยในคุกเดียวกัน โดยมีตัวเอก เป็นหญิงสาวชนชั้นกลางผู้มีการศึกษามาจากครอบครัวที่ไม่ขัดสน ต้องเข้ามาชดใช้ความผิดในอดีตสมัยวัยรุ่นของเธอ ขณะที่ก็เกิดเรื่องราววุ่นวายสารพัดระหว่างที่เธออยู่ในเรือนจำ

คนดูจะได้สัมผัสเรื่องราว ตัวละครนักโทษหญิงอีกหลายคนที่มีแบ๊กกราวด์ชีวิตต่างๆ โดยซีรีส์จะพาเราไปรู้จักตัวละครนักโทษหญิงคนอื่นไปเรื่อยๆ ในแต่ละตอน จนในที่สุดคนดูก็จะผูกพันและรู้ที่มาที่ไปของตัวละครมากมายท่ามกลางการแสดงของกลุ่มนักแสดงหลักที่แสดงชนิดขโมยซีนกันไปมา

จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเรื่องสนุกๆ ตลกร้ายของหญิงสาวมาดผู้ดีที่ต้องมาติดคุก แต่กลายเป็นว่าเสน่ห์ของ Orange Is the New Black เขยิบมาที่ “ส่วนต่อขยายของเรื่อง” ที่กลายเป็นจุดเด่นคือ “การแฟลชแบ๊ก” ย้อนให้เห็นเรื่องราวของนักโทษหญิงว่า กว่าที่แต่ละคนก่อนจะมาลงเอยในเรือนจำ พวกเธอเหล่านั้นมีวิถีชีวิต ใช้ชีวิต สิ่งแวดล้อม มีแรงกดดัน มีด้านสวยงาม ด้านย่ำแย่อย่างไร

Orange Is the New Black มีความโดดเด่นตรงที่มีเนื้อหาเล่นกับประเด็นร่วมสมัยมากมาย ตั้งแต่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ต้นทุนทางสังคมที่ต่างกัน การเหยียดเพศ การเหยียดเชื้อชาติ ความอยุติธรรม การกดขี่ ไปจนถึงประเด็นสิทธิทางเพศ LGBTQ

ในช่วง 2 ซีซั่นแรก ซีรีส์มีวิธีเล่าประเด็นหนักๆ เหล่านี้ผ่านความ “ตลกร้าย” และบทที่เฉียบคม บทสนทนาของตัวละครที่คมคาย นั่นทำให้ซีซั่น 1 คะแนนวิจารณ์ของผู้ชมเข้าขั้นดีจนถึงดีมาก

Orange Is the New Black เป็นชีวิตในโลกเล็กๆ เบื้องหลังกรงขัง ที่สะท้อนทั้งปัญหาในระบบบริหารจัดการเรือนจำ เรื่องราวของชีวิตนักโทษ ไปจนถึงบรรดาผู้คุมในเรือนจำต่างก็มีเรื่องเล่าแบบต่างๆ กัน โดยเรื่องราวตลอด 7 ปี ที่ดูกันมา เทียบกับสถานการณ์ในเรื่องเป็นเหตุการณ์ในเรือนจำที่ดำเนินไปเพียง 1 ปีกว่าเท่านั้น แต่มีรายละเอียดชีวิตนักโทษหญิงมากมาย ที่สำคัญแต่ละซีซั่นจะล้อไปกับสถานการณ์ด้านสิทธิในช่วงที่เกิดประเด็นต่างๆ ในสังคมอเมริกันด้วยเช่นกัน

ในซีซั่นสุดท้ายเราจึงเห็นทั้งประเด็นเรียกร้องสิทธิผู้หญิงจากการถูกคุกคามทางเพศอย่าง MeToo และประเด็นนโยบายรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กีดกันคนต่างด้าวอย่างเข้มข้น

ใครยังไม่ได้ดู อยากชวนให้ลองดู เพราะนี่คือ “หนึ่งในหัวขบวนซีรีส์” จุดเริ่มต้นความสำเร็จของเน็ตฟลิกซ์ ว่า“Original Content” ที่มีคุณภาพ มีบทเฉียบขาดก็ทำให้ “ธุรกิจสตรีมมิ่ง” หน้าใหม่เมื่อหลายปีก่อน แจ้งเกิดได้ เทียบชั้นสตูดิโอค่ายยักษ์ใหญ่ ซึ่งทุกวันนี้เน็ตฟลิกซ์ก็มีดาราระดับแม่เหล็กเกรดเอพาเหรดมาร่วมงานด้วยอย่างคับคั่ง มีภาพยนตร์และซีรีส์ที่ขึ้นไปกวาดรางวัลสำคัญของวงการบันเทิง แม้ระยะหลังซีรีส์บางเรื่อง และภาพยนตร์ลงทุนสร้างของเน็ตฟลิกซ์จำนวนหนึ่งจะมีพล็อตและบทที่ไม่เข้าท่าออกมาพอสมควร

อย่างที่เกริ่นไว้ว่า ซีอีโอของเน็ตฟลิกซ์เคยบอกว่าคู่แข่งสำคัญของเขาคือ “เวลานอน” แต่วันนี้เวลานอนอาจไม่ใช่คำตอบ เพราะต้องยอมรับว่า มีคู่แข่งทางธุรกิจที่เป็นรูปธรรมขยับให้เห็นกันแล้ว ค่ายดังอย่างดิสนีย์ งัดสตรีมมิ่ง “Disney+” (ดิสนีย์พลัส) ขึ้นสู้ โดยออกกลยุทธ์จ่ายทีเดียวดูได้ 3 บริการสตรีมมิ่ง คือ Disney+, Hulu และ ESPN ส่วนค่ายวอร์เนอร์ที่เป็นเจ้าของ HBO เตรียมดัน “HBO Max” (เอชบีโอแม็กซ์) สตรีมมิ่งน้องใหม่ เข้าสู่สนามแข่ง และเล็งมีแผนจะตัดกำลังเน็ตฟลิกซ์ ด้วยการดึงซีรีส์ฮิตเรื่องคลาสสิกและเป็นที่นิยมหลายเรื่องของค่ายวอเนอร์ที่เน็ตฟลิกซ์ซื้อไปฉายสตรีมมิ่งกลับมาให้ดูกันที่เอชบีโอแม็กซ์แทน

ไม่ว่าอนาคตของเน็ตฟลิกซ์ในทางธุรกิจจะถูกเปลี่ยนเกม หรือยังครองแชมป์ตลาดสตรีมมิ่งได้อยู่หรือไม่ ทว่าหากให้นึกถึงคอนเทนต์ดีที่ช่วยสร้างชื่อให้แบรนด์ หนึ่งในนั้นก็คือ Orange Is the New Black เป็นซีรีส์ซิกเนเจอร์สำคัญเรื่องแรกๆ ร่วมขบวนมาพร้อมกับ House of Cards ที่ส่งให้เน็ตฟลิกซ์ได้รับคำชมในแง่การสร้างสรรค์ผลงานชั้นดีจนแจ้งเกิดทั่วโลก ซึ่งวันนี้ผ่านมาหลายปีทั้งสองเรื่องก็ทยอยบอกลาผู้ชมเป็นที่เรียบร้อย

การปิดม่านของซีรีส์เรื่องนี้ที่เปิดให้ดูซีซั่นสุดท้ายตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สมควรทั้งแก่เวลาและโดยเนื้อเรื่อง แม้ช่วงปลายเรื่องใน 2 ซีซั่นสุดท้ายจะแผ่วและพลังของเรื่องลดถอยไปอยู่พอสมควรตามกาลเวลา แต่ตลอด 7 ปี ของ “Orange Is the New Black” ถือเป็นซีรีส์คุณภาพที่สมควรได้แนะนำและกล่าวถึงไว้ ด้วยเนื้อหาที่เริ่มด้วยความตลกร้ายแบบหม่นๆ ผ่านเรื่องราวสุดดราม่า และกลับมาฟีลกู้ดเบาๆ ได้ในท้ายที่สุด

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...