จางอ้ายเยว่ คุณหนูสกุลจาง
นิยาย Dek-D
อัพเดต 03 พ.ค. 2567 เวลา 00.48 น. • เผยแพร่ 03 พ.ค. 2567 เวลา 00.48 น. • ชีวิตไม่ใช่เรื่องยากข้อมูลเบื้องต้น
จางอ้ายเยว่เด็กหญิงผู้เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเรียนรู้ สิ่งใดที่เธอเคยได้รับรู้ ผ่านหู ผ่านตาแล้ว จะฝังแน่นอยู่ในความทรงจำโดยไม่ลืมเลือน
เธอเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของบ้านสกุลจาง คนในครอบครัวต่างมอบความรัก ความเอาใจใส่แก่เธอเสมอ อีกทั้งเธอยังมีเหล่าพี่ชายอีกตั้ง 4 คน ที่คอยดูแล ปกป้องเธอราวกับเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ
ตั้งแต่จำความได้ เธอมักจะฝันถึงเด็กผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยชุดจีนโบราณ มีผีเสื้อสีรุ้งแสนสวยเกาะอยู่บนศีรษะของเด็กคนนั้นเหมือนเป็นเครื่องประดับผม แต่มันคือผีเสื้อจริง ๆ เพราะมันกระพือปีกให้เธอเห็นอยู่บ่อย ๆ
เมื่อเธอเติบโตขึ้นเด็กคนนั้นก็เติบโตด้วยเหมือนกัน เธอเฝ้ามองผ่านความฝันมาเนิ่นนานหลายปี ทักษะความรู้ต่างๆ ที่เด็กคนนั้นเรียนรู้ อ้ายเยว่ก็ได้เรียนรู้ร่วมไปด้วย เธอจึงเรียกเด็กคนนั้นว่า ‘พี่สาว’
วันหนึ่งเจ้าแมวสีดำตัวอ้วนหน้าตาเกียจคร้าน โผล่เข้ามาในความฝันของเธอ มันมักนอนหมอบจ้องมองเธออยู่เงียบ ๆ ตลอดเวลาที่อยู่ในความฝัน
…ที่น่าแปลก คือพี่สาวและผู้คนที่อยู่ในความฝัน ไม่มีใครมองเห็นทั้งอ้ายเยว่ ผีเสื้อสีรุ้ง และเจ้าแมวดำเลย
เมื่อพี่สาวในฝันของอ้ายเยว่เติบโตขึ้นเป็นหญิงงาม มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับเธอจนทำให้เสียชีวิต
เรื่องยุ่ง ๆ เริ่มเกิดขึ้นหลังจากวันนั้น เจ้าผีเสื้อสีรุ้งและเจ้าแมวดำตัวอ้วน เริ่มปรากฎตัวให้อ้ายเยว่เห็นอยู่บ่อยครั้ง พวกมันเริ่มเข้ามาวุ่นวายในชีวิตอันแสนสงบสุขของเธอ…ที่สำคัญ คือเธอพูดคุยกับพวกมันได้ด้วยนี่สิ
เจ้าผีเสื้อสีรุ้งแสนสวย และเจ้าแมวดำ พวกมันต้องการอะไรจากเธอกันแน่…?
มาติดตามชีวิตของจางอ้ายเยว่กันนะคะว่า เธอจะได้ใช้ชีวิตสุดคูลในแบบที่ต้องการหรือไม่?
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นจากจินตนาการล้วน ๆ ไม่ได้อ้างอิงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ การเมือง การปกครองใด ๆ ทั้งสิ้น
เรื่องราวในนิยาย ผู้เขียนไม่มีเจตนาที่จะเสียดสี หรือทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดเสื่อมเสีย
กรุณาอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน >>>>> ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้ค่ะ
หมายเหตุ -นิยายเรื่องนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ไม่อนุญาตให้คัดลอก ดัดแปลง หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของนิยายไปใช้ ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ทุกความคิดเห็นค่ะ
<ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก>
ครอบครัว
สนามบินนานาชาติเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากที่กำลังรอรับญาติพี่น้องที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสาว กำลังเดินออกมาจากด้านใน
ครอบครัวเล็กๆนี้ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นอย่างมาก คนเป็นพ่อรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลา อายุราว 30 ปีเขากำลังเข็นรถบรรจุสัมภาระเดินนำอยู่ด้านหน้า ผู้เป็นแม่ดูงดงาม และอ่อนหวาน ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆที่แต่งแต้มบนใบหน้า
ภาพที่ดึงดูดสายตาของผู้คนได้มากที่สุด คือภาพของเด็กชายอายุราว 7 - 8 ปี กำลังตั้งใจเข็นรถเข็นเด็กอย่างเอาจริงเอาจัง เด็กทั้งคู่ต่างมีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู โดยเฉพาะเด็กหญิงตัวน้อย อายุราว 2 ขวบที่มีเรือนผมหยักศกเป็นลอนยาวประบ่า ดวงตาของเธอกลมโตพร้อมขนยาวยาวเรียงกันเป็นแพ หนูน้อยผู้งดงามราวตุ๊กตากำลังฟังคนเป็นแม่พูดอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะผงกศีรษะงึก งึก จนทำให้ผมหยักเป็นลอนนั้นฟูกระจาย
“ใครน่ะเธอ ดาราหรือเปล่าดูดีจังเลย”
“อุ๊ย..ดูสิน้องตัวน้อยน่ารักจังเลย แก้มฟูฟู น่าร๊าก…”
“พี่ชายก็น่ารักนะ ตั้งใจเข็นรถน้องสาวเอาจริงเอาจังมากเลย”
“ไอ้หยา!!! กระเป๋าเดินทางที่อยู่บนรถเข็น แบรนด์ดังทั้งคันรถเลยนะเธอ”
“กระเป๋าถือของคุณแม่ก็แบรนด์ดังของฝรั่งเศส ใบเดียวเท่ากับเงินเดือนฉันตั้งครึ่งปี…”
“โอ๊ย!!! น่ารักจังเลย น่ารักจนฉันใจเจ็บไปหมด”
“ถ้ามีลูกน่ารักแบบนี้ ฉันก็อยากจะมีสัก 10 คนไปเลย”
เสียงซุบซิบจากกลุ่มคนที่มารอรับญาติพี่น้องต่างพากันพูดถึงครอบครัวเล็กๆนี้ บ้างก็ชื่นชม บ้างก็อิจฉา บ้างก็สนใจใคร่รู้ แต่ทั้งครอบครัวไม่ได้สนใจคนรอบข้าง พวกเขาตรงดิ่งไปยังจุดนัดพบที่มีคนมารอรับอยู่ก่อนแล้ว
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ คุณชายซุน” ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมท่าทางใจดีพร้อมผู้ติดตามรีบเข้ามาหาจางซุนเพื่อรับช่วงเข็นกระเป๋าสัมภาระต่อ
“อากัง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” เขาทักทายพ่อบ้านกังที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก
“ยินดีต้อนรับคุณนาย คุณชายน้อย คุณหนูน้อยด้วยนะครับ”
“พ่อบ้านกัง” “คุณปู่กัง”
ซูฮวาและลูกชายทักทายพ่อบ้านกัง ขณะที่เจ้าตัวเล็กในรถเข็นก็พยักหน้าตามคนเป็นแม่และพี่ชายไปด้วย
“พวกเรารีบไปกันเถอะครับคุณท่านกับทุกๆคนกำลังรออยู่ที่บ้าน…ให้ปู่กังช่วยนะครับคุณชายน้อย” พ่อบ้านกังยื่นมือออกไปเพื่อจะช่วยเข็นรถเข็นเด็กแต่คนเป็นพี่ชายกลับเบี่ยงตัวเล็กน้อย
“เสี่ยวเยว่ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข็นรถเขาน่ะครับ ขอโทษครับปู่กัง” ว่าแล้วก็เข็นรถออกไปทิ้งให้พ่อบ้านกังมองตามด้วยใบหน้าสลด จนซูฮวาต้องรีบพูดปลอบใจ
“อย่าคิดมากนะคะพ่อบ้านกัง เจียวลู่เขาหวงน้องน่ะค่ะ”
ตอนนั้นเองเจ้าของใบหน้าเล็ก ๆ ตาโต ๆ เอี้ยวตัวหันกลับมามองพ่อบ้านกังพร้อมกับยิ้มหวานจนดวงตากลมโตโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว เมื่อเห็นเช่นนั้นหัวใจของชายกลางคนก็รู้สึกแช่มชื่นขึ้นทันที
“ยังไม่พูดอีกหรือครับ คุณชาย”
“เฮ้อ!!! ยังเลยครับอากัง หมอบอกว่าแกปกติทุกอย่างแค่แกไม่ยอมพูดเท่านั้นเองครับ”
เขาถอนหายใจมองไปทางลูกสาว ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ 2 ขวบครึ่งแล้วจางอ้ายเยว่ยังไม่พูดแม้แต่คำเดียว เขากับภรรยาเพียรพยายามเสาะหาหมอเก่งๆทั้งในและนอกประเทศเพื่อพาเธอไปรักษา
หมอทุกคนต่างยืนยันว่าอ้ายเยว่ปกติดี เธอไม่ได้มีปัญหาทางการได้ยิน อีกทั้งอวัยวะที่เกี่ยวกับการพูดของเธอก็ปกติดี เธอได้ยินและเข้าใจความหมายของคำพูดที่ทุกคนพูดกับเธอ เวลาที่เธอเจ็บหรือโกรธมากๆ เธอก็สามารถเปล่งเสียงร้องไห้เสียงดัง
ที่ผิดปกติคือเธอไม่ยอมเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูด แต่จะตอบสนองคำพูดของคนอื่นด้วยท่าทางแทน เช่น พยักหน้า ส่ายหน้า หรือชี้ไปยังสิ่งที่ต้องการ บางครั้งก็ส่งเสียงอือ อา ตอบรับบ้าง หมอเลยแนะนำให้พวกเขารอเพราะเมื่อถึงเวลาแกก็คงยอมพูดเอง
“กลับบ้านก่อนเถอะครับ” จางซุนถอนหายใจอีกครั้งก่อนจับแขนภรรยาคนสวยให้มาเดินใกล้ๆ รีบพากันเดินตามเด็กๆ ที่นำหน้าไปยังรถตู้สีดำคันใหญ่ซึ่งจอดรออยู่ก่อนแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่จางซุนกลับมายังประเทศจีน เขาจากไปตั้งแต่อายุ 17 ปี หลังจากจบชั้นมัธยมปลาย เขาหลงใหลในงานสถาปัตยกรรม การออกแบบอาคาร บ้านเรือนต่าง ๆ และอยากไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในประเทศฝรั่งเศส เพราะที่นั่นมีสิ่งปลูกสร้างมากมายที่มีคุณค่าทั้งทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม แต่พ่อของเขาไม่เห็นด้วยทั้งคู่จึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะต่างคนก็ต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ด้วยความดื้อดึงเขาจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อที่จะเดินทางตามหาความฝันของตัวเอง พร้อมกับตั้งเป้าหมายกับตัวเองเอาไว้ว่า เขากลับมาอีกครั้งในวันที่เขาประสบความสำเร็จ
เมื่อเดินทางไปถึงประเทศฝรั่งเศส เขาพบว่าด้านในสุดของกระเป๋าเดินทาง มีห่อผ้าขนาดใหญ่ซุกอยู่ ในนั้นมีเงินจำนวนมาก เครื่องประดับมีค่าหลายอย่าง พร้อมทั้งจดหมายอีก 3 ฉบับ จากพ่อ แม่ และพี่ชาย ทุกฉบับต่างพูดถึงการยอมรับการตัดสินใจของเขา ให้เขาตั้งใจเล่าเรียน และรอวันที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง
“ทานของว่างรองท้องก่อนครับคุณชายคงอีกสักพักกว่าจะถึงบ้าน มีของคุณชายน้อย คุณหนูน้อยด้วยนะครับ”
พวกเขานั่งอยู่ในรถตู้คันหรูที่นำเข้าจากต่างประเทศ พ่อบ้านกังนั่งด้านหน้าคู่คนขับรถยื่นกล่องอาหารว่างที่เตรียมมาให้กับจางซุน
“เพิ่งทานของว่างก่อนลงเครื่อง ยังอิ่มอยู่เลยครับ”
จางซุนรับกล่องอาหารว่างมาก่อนจะยื่นไปทางภรรยา แต่เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักเขากลับมองตามพร้อมกับชี้นิ้วอ้วน ๆ ป้อม ๆ ของเธอไปยังกล่องอาหารนั้น
“เยว่เออร์ อยากทานขนมหรือจ๊ะ” เสียงหวานเอ่ยถามลูกสาว
เจ้าตัวเล็กรีบพยักหน้างึก งึก เมื่อได้รับขนมชิ้นเล็กที่คุณแม่ส่งมาให้ก็ส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ๆ พลางส่งเสียงอือ อือไปด้วย
“ส่งเสียงแบบนี้แสดงว่าอร่อยค่ะ” ซูฮวาบอกพ่อบ้านกังที่หันมามองอย่างแปลกใจ
“เสี่ยวเยว่ ทานอีกสิ” พี่ชายยื่นขนมของเขาป้อนให้อย่างเอาใจ ฝ่ายน้องสาวก็รีบอ้าปากรับอย่างเต็มใจ ภายในรถตอนนี้จึงมีแต่เสียง อือ อือ เป็นระยะ ๆ จนขนมชิ้นนั้นถูกเจ้าตัวเล็กกำจัดจนหมด
“พอแล้วลูก ทานเยอะเกินไปเดี๋ยวท้องอืด” มือเรียวเช็ดปาก เช็ดแก้มยุ้ยที่เลอะเศษขนมให้อย่างเบามือ ก่อนจะส่งน้ำดื่มให้กับเจ้าตัวเล็ก
“ทุกคนเป็นอย่างไรบ้างครับอากัง สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีครับ ทุกคนตื่นเต้นกันมากที่คุณ ๆ จะมา นายท่านกับนายหญิงสั่งปรับปรุงบ้านขนานใหญ่ ส่วนคุณชายเฉินถึงกับเชิญอาจารย์มาสอนภาษาให้กับคุณชายน้อยทั้ง 3 ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส เพราะกลัวว่าจะคุยกับน้องๆไม่รู้เรื่อง บางครั้งนายหญิงก็ไปร่วมเรียนด้วยนะครับ”
“ผมก็ตื่นเต้นเหมือนกันครับ จากไปนานเหลือเกินในที่สุดก็จะได้พบกันแล้ว" ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มอ่อนๆแต่แวตากลับแสดงออกถึงความกังวล
ซูฮวารัรู้ถึงปัญหาและความไม่สบายใจของสามี จึงยื่นมือเรียวไปเกาะกุมมือเขาไว้เพื่อปลอบประโลม เจ้าตัวเล็กกับพี่ชายเห็นอย่างนั้นก็วางมือป้อม ๆ ของตัวเองแปะไว้บนมือคนเป็นพ่อด้วย พวกเขามองหน้าพร้อมกับยิ้มให้กัน ทำให้บรรยากาศในรถเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่นของครอบครัวเล็ก ๆ นี้
พ่อบ้านกังแอบเช็ดน้ำตาขณะที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข เขาติดตามรับใช้ศาสตราจารย์จางมาตั้งแต่ยังหนุ่ม มีโอกาสได้ดูแลทั้งจางเฉินและจางซุนมาตั้งแต่เกิด เขาจึงมีความสุขมากที่ได้เห็นคุณชายน้อยผู้ใจร้อนและดื้อรั้นในวันนั้น ได้กลายมาเป็นคุณพ่อและมีครอบครัวที่อบอุ่นในวันนี้
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
แรกพบ
จางซุนมองความเปลี่ยนแปลง และชี้ชวนให้สมาชิกในครอบครัวชมสถานที่สำคัญตามทางที่รถแล่นผ่าน ใช้เวลาร่วมชั่วโมงรถตู้คันใหญ่จึงแล่นเข้าสู่บริเวณบ้านพักอาศัย
เส้นทางที่คุ้นเคยทำให้จางซุนรู้สึกตื่นเต้น เขากุมมือภรรยาไว้แน่นเมื่อกำแพงบ้านสกุลจางปรากฏแก่สายตา รถแล่นอ้อมไปยังประตูด้านข้างก่อนจะจอดส่งผู้โดยสารใกล้ ๆ ลานหนังบ้าน
จางซุนก้าวลงจากรถเงยหน้ามองท้องฟ้าอันแจ่มใส ดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องแสงสว่างเจิดจ้า กลุ่มเมฆสีขาวน้อยใหญ่ลอยกระจัดกระจายอยู่เต็มท้องฟ้า อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
…ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าหล่อเหลาแฝงด้วยความดื้อรั้น เดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้ามาภายในลานหลังบ้าน พร้อมกับเข็นรถเข็นเด็กที่มีเด็กหญิงตัวเล็กๆหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดูมาด้วย ด้านหลังของพวกเขามีหญิงสาวรูปร่างบอบบางแต่งตัวด้วยชุดที่ตัดเย็บอย่างปราณีตดูสุภาพเรียบร้อย เดินจูงมือเด็กชายอายุราว 7-8 ปีตามมา
กลุ่มคนที่รอรับอยู่ภายในลานบ้านและคนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่ ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศโยรอบเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
จนกระทั่งจางซุนเริ่มได้สติ เขาทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง ก่อนจะก้มศีรษะจรดพื้นดินเบื้องหน้าคนเป็นพ่อ 3 ครั้งเพื่อเป็นการทำความเคารพ ภรรยาและลูกชายที่อยู่ด้านหลังเห็นดังนั้น จึงรีบคุกเข่าลงแล้วก้มศีรษะทำความเคารพไปพร้อม ๆ กันด้วย
เจ้าตัวเล็กบนนรถเข็นพยายามเลียนแบบพ่อ แม่ และพี่ชาย ด้วยการก้มศีรษะให้ต่ำที่สุดจนก้นโด่งลอยขึ้นจากที่นั่ง เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากเด็กชาย 3 คนที่ยืนรวมกลุ่มอยู่ด้านข้าง
“ผมกลับมาแล้วครับคุณพ่อ ขอโทษที่หายไปนานนะครับ”
จางซุนเงยหน้าขึ้นพูดกับผู้เป็นพ่อ พร้อมน้ำตาที่ไหลเป็นทาง ศาสตราจารย์จางรีบเดินเข้าไปดึงตัวลูกชายขึ้นมากอด ลูบหลัง ลูบใหล่เบาๆ ขณะที่ตัวเองก็ตาแดงๆไปด้วย
“ลุกขึ้นเถิดเมียเจ้าเล็ก หลานชาย หลานสาวด้วย …กลับมาก็ดีแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว ไปหาแม่ก่อนเถอะ”
ทั้งสามคนเข้าไปยืนตรงหน้าหญิงวัยกลางคนรูปร่างบอบบาง ใบหน้างดงามที่ยังคงอ่อนเยาว์มีความคล้ายคลึงกับจางซุนถึง 7-8 ส่วน พวกเขาคุกเข่าลง ก้มศีรษะจรดพี้นทำความเคารพ 3 ครั้ง พร้อม ๆ กับเจ้าตัวเล็กที่ก้มศีรษะจนก้นโด่งอยู่บนรถเหมือนเดิม จางซิ่วอิงมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก เธอเฝ้ารอวันนี้มานานเหลือเกิน
“กลับมาแล้วครับคุณแม่ ยกโทษให้ลูกด้วยที่ทำให้เป็นห่วง” จางซิ่วอิงรีบดึงลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานชายให้ลุกขึ้น เธอกอดลูกชายคนเล็กที่ไม่ได้พบกันมาเนิ่นนานเอาไว้แน่น
“ดีแล้วลูก กลับมาก็ดีแล้ว…อยู่กับแม่นานๆนะลูกสะใภ้ หลานชาย หลานสาวด้วยอยู่กับย่านานๆนะ”
“ค่ะ คุณแม่” “ครับ คุณย่า”
หลังจากปลอบประโลมผู้เป็นแม่อยู่ครู่หนึ่ง จางซุนจึงเดินเข้าไปหาจางเฉินพี่ชายของเขาที่ยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างภรรยาและลูกชายทั้งสาม จางเฉินเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรง ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาดุดันคล้ายผู้เป็นพ่อ สองพี่น้องโผเข้ากอดกันแน่น ต่างตบหลังตบไหล่และหัวเราะเสียงดัง
“พี่ใหญ่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”
“โตขึ้นเยอะเลยน้องเล็ก อยู่ข้างนอกลำบากมากไหม”
“ไม่ลำบากเลยครับ” เขาหันไปก้มศีรษะทักทายภรรยาของจางเฉิน พร้อม ๆ กับเด็กชายทั้งสามที่เอ่ยทักทายเขาพอดี
“พี่สะใภ้”
“คุณอาเล็ก” “คุณอาเล็ก” “คุณอาเล็ก”
“เอาล่ะ ๆ เข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ อากาศข้างนอกยังเย็นอยู่มากเดี๋ยวเด็กๆจะไม่สบายไปเสียก่อน”ศาสตราจารย์จางกล่าวขัดขึ้นมาพร้อมทั้งเดินนำเข้าไปภายในตัวบ้าน
ทันทีที่เขาเดินออกไปสงครามย่อมๆก็เริ่มเกิดขึ้น เด็กชายทั้ง 3 กรูเข้ามารายล้อมรถเข็นของเจ้าตัวเล็ก โดยมีพี่ชายอย่างเจียวลู่กันพวกเขาออกไปอย่างสุดกำลัง เด็ก ๆ ต่างแย่งกันพูดสารพัดภาษาทั้งภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ทำให้เกิดเสียงเซ็งแซ่ เจี๊ยวจ๊าวฟังแทบไม่ได้ศัพท์
ผู้ใหญ่ในบริเวณนั้นจับใจความได้เพียงแค่เด็ก ๆ ต่างแย่งชิงและเสนอตัวเป็นผู้เข็นรถของเจ้าตัวเล็กเข้าไปภายในบ้าน ส่วนเจ้าตัวเล็กได้แต่ทำตาโตมองคนนั้นที คนนี้ที แต่ไม่มีอาการหวาดกลัวแต่อย่างใด จางเฉิน จึงรีบเข้ามาห้ามสงครามย่อยๆนั้นทันที
“เจ้าเด็กตัวเหม็นพวกนี้ถอยออกมาก่อน เดี๋ยวจะทำน้องตกใจ”
“คุณพ่อ…พวกเราแค่อยากช่วยพาน้องเล็กเข้าไปในบ้านเท่านั้นเอง” หนึ่งในเด็กชายแย้งด้วยเสียงอ่อยๆ
“เอาอย่างงี้ ให้เยว่เออร์เป็นคนเลือกก็แล้วกันว่าจะให้ใครพาเข้าไป” จางเฉินสรุปเสียงเข้ม “เยว่เออร์ อยากให้ใครพาไปล่ะจ๊ะ” เขาหันมาพูดเสียงเล็กเสียงน้อย พร้อมกับโน้มตัวลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าตัวเล็กในรถเข็นเด็ก พลางส่งสายตาวิบวับ พยักหน้างึก ๆ เหมือนบอกเป็นนัยว่า เลือกลุงสิ…เลือกลุงสิ
ทุกคน “…???…”
อ้ายเยว่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ยกนิ้วอ้วนป้อมของเธอชี้ไปยังจางซุนผู้เป็นพ่อพร้อมทั้งชูแขนทั้งสองข้างขึ้นทำท่าให้อุ้ม เขายิ้มกว้างรีบเข้าไปอุ้มลุกสาวตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน พร้อมทำท่าทางโอ้อวดคนอื่นไปด้วย
“เราไปกันเถอะเยว่เออร์” จางซุนพาภรรยาและลูกชายเดินนำทุกคนออกไป เด็กชายทั้ง 3 ต่างพากันเดินคอตกตามหลังไปเงียบ ๆ
“ไปได้แล้วค่ะคุณ เขาไปกันหมดแล้ว” จางหนิงลี่ยิ้มขำกับท่าทางเซื่องซึมด้วยความผิดหวังของสามี เธอเข้าใจดีว่า เขาอยากมีลูกสาวสักคนมาตลอด จึงได้แต่เอ่ยปลอบใจคนตัวโต
“เดี๋ยวก็ได้อุ้มค่ะ แกอาจจะยังไม่คุ้น”
ทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับรองภายในบ้านหลัก คุณปู่จางและคุณย่าจางนั่งอยู่ตรงกลาง ด้านหนึ่งเป็นครอบครัวของจางเฉิน ส่วนอีกด้านเป็นครอบครัวของจางซุน พ่อบ้านกังยืนเยื้องไปทางด้านหลังของคุณปู่จางเพื่อคอยรับใช้
ส่วนอ้ายเยว่กำลังเดินเตาะแตะสำรวจรอบ ๆ ห้อง โดยมีหลินอวี้ภรรยาของพ่อบ้านกังคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ หลังจากเธอได้นำช และของว่าง มารับรองเจ้านายทุกคนเรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่สมาชิกทุกคนในสกุลจางได้มารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา นับตั้งแต่วันที่จางซุนหนีออกจากบ้านไปยังประเทศฝรั่งเศส แม้จะมีการติดต่อกันทางจดหมายเพื่อส่งข่าวคราวความเป็นอยู่ รวมทั้งส่งรูปภาพของคนในครอบครัวให้กันและกันอยู่เป็นประจำ
บางครั้งพวกเขามีการติดต่อทางโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศให้พอได้ยินเสียงกันบ้าง แต่ไม่บ่อยมนักเนื่องจากข้อจำกัดหลายๆอย่าง ทั้งความแตกต่างด้านเวลาของทั้งสองประเทศ สัญญาณโทรศัพท์ที่ไม่ค่อยชัดเจน รวมถึงค่าบริการที่มีราคาสูงมาก พวกเขาจึงใช้จดหมายในการติดต่อกันเป็นส่วนใหญ่ จึงนับว่าทุกคนในสกุลจางไม่ใช่คนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
>>>>>>>>>>>>>>>>>>
บ้านสกุลจาง
ศาสตราจารย์จาง หรือจางอ้ายกั๋ว ผู้นำตระกูลจาง ( 56 ปี ) เขาดำรงตำแหน่งคณบดีของคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ความสามารถของเขาเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง ทั้งแวดวงการศึกษา และแวดวงการค้าของโบราณ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานของรัฐ และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
เขาแต่งงานกับเซี่ยะซิ่วอิง ( 52 ปี ) สุภาพสตรีผู้แสนงดงาม อ่อนหวาน แต่จิตใจเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก เธอมาจากตระกูลเก่าแก่ที่มั่งคั่งของปักกิ่ง ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่ชนชั้นสูงของเมืองหลวง ทั้งสองมีบุตรชาย 2 คน คือ จางเฉิน ( 34 ปี ) และ จางซุน ( 29 ปี )
จางเฉินเข้าเรียนในวิทยาลัยการทหาร เมื่อจบการศึกษาเขาเข้ารับราชการทหารและก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นอย่างมาก จนกระทั่งได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ เขาได้รับบาดเจ็บบริเวณขาจนอาการสาหัส เมื่อรักษาหายดีแล้วแต่ยังต้องทำกายภาพบำบัดอีกเป็นเวลานาน เขาตัดสินใจลาออกจากราชการทหารเพื่อรักษาตัว จนกระทั่งหายดีจึงหันมาทำธุรกิจเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นจึงขยายสาขาบริษัทออกไปตามเมืองใหญ่ ๆ ในประเทศราว ๆ 10 สาขา
เขาแต่งงานกับหวังหนิงลี่ ( 30 ปี ) หญิงสาวจากตระกูลนักวิชาการผู้มีความคิดที่แตกต่าง และทันสมัย ถึงแม้เธอจะแต่งงานและมีบุตรแล้ว เธอยังเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเรียนสำเร็จและเข้าทำงานเป็นอาจารย์สอนในภาควิชาภาษาจีนของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่เดียวกับพ่อสามีของเธอ จางเฉินและหวังหนิงลี่ มีบุตรชาย 3 คนคือ จางหยุน ( 12 ปี ) จางหนิงฉิน ( 10 ปี ) และจางหนิงจิน ( 8 ปี )
ส่วนจางซุน ( 29 ปี ) อย่างที่ทราบว่า เขาหนีออกจากบ้านไปยังประเทศฝรั่งเศสเพราะต้องการเข้าเรียนด้านสถาปัตยกรรม นอกจากนั้นเขายังทำงานพิเศษเพื่อเป็นการหาค่าเล่าเรียนด้วยตัวเองโดยไม่ได้แตะต้องเงินจากทางบ้านเลย เขาทำงานพิเศษเป็นพนักงานในภัตตาคารอาหารจีนที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในฝรั่งเศส ที่นั่นเขาได้พบกับโจวซูฮวา ( 29 ปี ) ลูกสาวคนเดียวของเจ้าของภัตตาคาร และยังเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันอีกด้วย โดย โจวซูฮวานั้นเรียนในคณะดนตรีสากล เธอมีความชำนาญในเครื่องดนตรีหลายชนิดโดยเฉพาะเปียโนและไวโอลิน
ทั้งสองคบหาดูใจกันหลายปีจนกระทั่งเรียนจบ จางซุนวางแผนที่จะเดินทางกลับประเทศจีนเพื่อหาลู่ทางในการทำงานสร้างตัว ก่อนที่จะกลับไปสู่ขอเธอเพื่อมาใช้ชีวิตร่วมกัน แต่ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับประเทศจีนพ่อและแม่ของซูฮวาได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นเสียก่อน อุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้นทำให้ทั้งคู่เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
แผนการกลับประเทศจีนของจางซุนจึงถูกยกเลิก เขาตัดสินใจอยู่เคียงข้างซูฮวาผู้ที่กำลังเศร้าโศก เสียใจ และเสียขวัญอย่างหนัก ด้วยเธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวและไม่มีญาติใกล้ชิดเลย อีกทั้งยังมีธุรกิจภัตตาคารอาหารจีนขนาดใหญ่ที่เธอต้องรับผิดชอบต่อจากผู้เป็นพ่ออีกด้วย
ทั้งสองจึงเข้ามาเรียนรู้และช่วยกันบริหารงาน จนสามารถประคับประคองให้ภัตตาคารสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ จนกระทั่งสามารถขยายสาขาออกไปอีก 2 สาขา เมื่อกิจการดำเนินไปได้ด้วยดีทั้งคู่จึงตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน จางซุนและซูฮวา มีบุตรชาย หญิง ด้วยกัน 2 คน คือจางเจียวลู่ ( 7 ปี ) และ จางอ้ายเยว่ ( 2 ปีครึ่ง )
…
เจ้าตัวเล็กเดินเตาะแตะสำรวจรอบ ๆ ห้อง จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยจึงเดินกลับมาเกาะขาคนเป็นพ่อ ใบหน้าเล็ก ๆ แหงนมองผู้ใหญ่ที่กำลังพูดคุยกันด้วยท่าทางเหมือนกำลังตั้งใจฟัง
“ เยว่เออร์มาแล้ว พ่อจะแนะนำให้รู้จักทุกคนนะ ท่านนี้คือคุณปู่ คุณย่า คุณลุงใหญ่ ….” จางซุนอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตักก่อนจะแนะนำญาติทุกคนให้เธอรู้จัก ซึ่งอ้ายเยว่ก็หันมองไปตามมือที่ผายไปยังคนเหล่านั้น พร้อมกับยิ้มหวานให้กับทุก ๆ คน
“มาหาย่าหน่อยสิจ๊ะเยว่เออร์ ย่ายังไม่ได้ให้ของขวัญแรกพบกับหลานเลย”
คุณย่าจางนั่งติดกับจางซุนพูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอหยิบสร้อยคอเส้นเล็กพร้อมจี้รูปทรงกลมทำจากหยกเนื้อดีสีเขียวสดใส ด้านในแกะสลักเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวล้อมรอบด้วยกลุ่มเมฆมงคลออกมา และรอคอยให้เจ้าตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ ๆ
“ด้านหลังมีชื่อของเยว่เออร์ด้วยนะเดี๋ยวย่าสวมให้นะจ๊ะ…นี่เป็นของขวัญจากปู่กับย่า มอบให้เยว่เออร์นะ”
ขณะที่เจ้าตัวเล็กก้มหน้ามองจี้ที่ห้อยอยู่รอบคอตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ คุณปู่จางพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นุ่มนวล อ่อนหวานที่สุด
“เยว่เออร์ชอบหรือเปล่า..หือ”
ศาสตราจารย์จางไม่เคยมีลูกสาว หรือหลานสาวมาก่อน ที่ผ่านมาครอบครัวสกุลจางล้วนมีแต่เด็กผู้ชาย ประกอบกับหน้าที่การงานของเขาที่ต้องเดินทางอยู่แทบตลอดเวลา จึงทำให้ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับหลาน ๆ มากนัก อีกทั้งนิสัยส่วนตัวที่เคร่งขรึมและไม่ค่อยพูดของเขา จึงทำให้ลูกหลานไม่ค่อยกล้าเข้าหา
เจ้าตัวเล็กได้ยินคุณปู่จางถามจึงรีบพยักหน้า พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตากลมโต ใสแจ๋ว อ้ายเยว่ค่อย ๆ ยืดตัวขึ้นเต็มความสูงของเธอ แม้ว่ามันจะสูงเพียงแค่ระดับเข่าของคุณปู่จางก็ตาม
นิ้วอ้วน ๆ สั้น ๆ ของเธอจิ้มบนหน้าอกของตัวเองก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยคำพูดออกมาช้า ๆด้วยเสียงเล็กๆ ที่ค่อนข้างแหบ เพราะไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน
“ เยว่เยว่”
เสียงน้ำนมเล็ก ๆ ดังขึ้นเบา ๆท่ามกลางความเงียบ แม้จะเป็นเสียงที่เบามากแต่ทุกคนภายในห้องต่างได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาได้แต่นิ่งอึ้ง ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะจางซุนผู้เป็นพ่อที่ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ และมีท่าทางราวกับจะเป็นลม
คนที่ได้สติก่อนใครกลับกลายเป็นเจียวลู่ เด็กชายรีบกระโดดลงจากเก้าอี้ตรงเข้าไปกอดน้องสาวตัวน้อยเอาไว้ด้วยความดีใจ
“เสี่ยวเยว่พูดได้แล้ว เสี่ยวเยว่ยอมพูดแล้ว..น้องเก่งมากๆเลย”
“คุณคะ คุณ…ได้ยินไหมคะเยว่เออร์พูด…พูดแล้ว”
ซูฮวาเพิ่งได้สติเขย่าแสนสามีแรง ๆ พร้อมกับพูดตะกุกตะกักด้วยเสียงเจือสะอื้น เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะด้วยความดีใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองลูกสาวตัวน้อยที่โดนพี่ชายกอดเอาไว้แน่น
จางซุนรู้สึกตัวหลังจากถูกภรรยาเขย่าแขนอย่างแรง เขาหันมากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขนพร้อมน้ำตาที่ไหลรินอาบใบหน้า ก่อนจะจูงมือภรรยาเข้าไปคุกเข่ากอดทั้งลูกชายและลูกสาวเอาไว้
ภาพครอบครัวเล็กๆที่กอดกันร้องไห้อยู่ตรงหน้า ทำให้คุณย่าจาง หนิงลี่ และหลิวอวี้พลอยร้องไห้ตามไปด้วย ส่วนเหล่าผู้ชายในห้องล้วนแต่น้ำตาซึมด้วยความปิติยินดี …
>>>>>>>>>>>>>>>>