‘อนงค์’ สาวนอกขนบแห่งยุค 2470s นางเอกจากละคร ‘หนึ่งในร้อย’ ที่ความก้าวหน้าของเธอในยุคนั้น ยังคงทำงานกับผู้หญิงในยุคนี้
นี่คือเรื่องราวของ ‘อนงค์’ หนึ่งในหญิงสาวจากอีกหลายชีวิต ที่กำลังพิสูจน์ให้ครอบครัว รวมถึงคนในสังคม และคนดูละคร ‘หนึ่งในร้อย’ (My Cherie Amour) ทางช่อง 3 และ Netflix ได้เห็นว่า ‘ผู้หญิง’ สามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้ ทั้งทางเลือกในการใช้ชีวิต ที่เธอต้องการบริหารธุรกิจออกมาให้ดีที่สุด ทางเลือกที่จะหันหลังให้กับกรอบความเป็นหญิงตามขนบ ที่เธอไม่เชื่อว่าผู้หญิงต้องเป็นช้างเท้าหลัง หรือรอคอยให้ผู้ชายมาปกป้อง มาคิดแทน มาตัดสิน กระทั่งทางเลือกในการเลือกคู่ครองในความสัมพันธ์ ที่ขอเลือกคนที่ถูกใจที่สุด ถ้าไม่เจอคนคนนั้น ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร หากผู้หญิงอย่างเราๆ จะมีความสุขดีกับชีวิตโสดต่อไป
นี่เป็นละครอีกเรื่องที่ตอกย้ำความเป็นปีทองของละครไทย เพราะปีนี้มีละครไทยหลายเรื่องที่กระแสมาแรง และเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง ทั้งจากบท ฝืมือการแสดง คอสตูม หรือโปรดักชัน ฯลฯ ซึ่ง หนึ่งในร้อย ก็เป็นอีกหนึ่งละครพีเรียดสุดโรแมนติกที่สร้างจากวรรณกรรมในตำนานชื่อเดียวกัน ที่คนพากันชื่นชมเคมีสุดเขินระหว่าง ญาญ่า อุรัสยา และ ต่อ ธนภพ ซึ่งถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นธรรมชาติ อีกทั้งหลายคนยังชอบคอสตูมที่สวยงามจัดเต็ม และพล็อตเรื่องก็นับว่ามีหลายรสชาติ ที่ชวนให้ติดตามต่อไปจนจบ ว่าอนงค์ หญิงสาวผู้แหกขนบความเป็นหญิงแห่งพระนคร จะลงเอยกับชายที่เป็นเหมือน ‘หนึ่งในร้อย’ ของเธอได้อย่างไร
หนึ่งในร้อย สร้างมาจากนิยายของ ดอกไม้สด หรือหม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์ ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2477 และในปี 2567 นี้ ผู้จัดอย่าง แอน ทองประสม ก็เลือกหยิบมาทำเป็นละคร ซึ่งก็ต้องบอกว่า ภาพความก้าวหน้าของผู้หญิงที่ถูกเขียนไว้ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว 90 ปี ยังคงทำงานกับหญิงสาวในยุคปัจจุบันที่ดูแล้วอินตามกันได้ง่ายๆ และหลายคนก็มีความคิดไม่ต่างจากอนงค์
ละครเล่าเรื่องราวของอนงค์ (ญาญ่า) ทายาทเจ้าของธนาคารและห้างฯ ที่เป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในครอบครัวที่เต็มไปด้วยพี่ชายทั้ง 4 คน แม้อนงค์จะชัดเจนว่าเป็นผู้หญิงเก่งที่ขอใช้ความสามารถเลือกเส้นทางในชีวิตด้วยตัวเอง แต่เหล่าพี่ชายก็เป็นห่วง กลัวน้องสาวจะเลือก ‘พลาด’ จึงพยายามเฟ้นหาคู่ครองที่ตัวเองคิดว่าดี มาให้อนงค์เลือก จนทำให้เกิดเหตุการณ์วุ่นๆ และน่าปวดหัวตามมา ทว่าผู้พิพากษาหนุ่มอย่าง วิชัย หรือ คุณพระ (ต่อ) ที่ไม่ได้อยู่ในตัวเลือกของพี่ชายแต่ดันเป็นเพื่อนของพี่ชายของเธอ และเขาก็เป็นพี่ชายของ ชัด (มีน พีรวิชญ์) เพื่อนสนิทที่กำลังตามจีบเธอเพื่อเลื่อนสถานะเป็นคนรู้ใจอยู่ ซึ่งคุณพระก็ทำให้อนงค์ใจเต้นได้ โดยที่เธอไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้บอบบางลงเพื่อให้ผู้ชายเป็นใหญ่ในชีวิตเธอ
ตลอดการดำเนินเรื่อง เราจะได้เห็นการมองโลกของอนงค์ผ่านบทพูดและการกระทำที่ผู้สร้างน่าจะตั้งใจให้เต็มไปด้วยน้ำเสียง empower ทั้งการที่เธอตั้งคำถามว่า “ผู้ชายอยากให้ผู้หญิงอย่างเราเป็นนางฟ้า แต่เขาไม่ค่อยสร้างสวรรค์เอาไว้ แล้วจะให้ผู้หญิงอย่างเรามาอยู่ในนรกได้ยังไงคะ?…ผู้หญิงอย่างเราเนี่ย คู่ควรกับคนที่เห็นค่าของเราเท่านั้น”
หรือการที่เมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อนงค์ก็พร้อมสู้ด้วยตัวเอง เช่น ฉากจับโจร ที่เธอพยายามวิ่งไล่โจรแบบสุดชีวิต โดยที่ผู้ชายที่พบเห็นเหตุการณ์บอกกับเธอว่าให้รอเฉยๆ ดีกว่า เดี๋ยวเขาจัดการให้เอง?! ซึ่งก็ทำให้เธอคิดว่า “อะไรทำให้ผู้ชายคิดว่าเราต้องง้อเขานะ อะไรทำให้เขามั่นใจ แล้วคิดว่า ตัวเองเป็นช้างเท้าหน้า…นอกจากไม่ฉลาด ยังชอบอวดฉลาด แล้วบอกว่าตัวเองเป็นช้างเท้าหน้า” และสุดท้ายเธอก็วิ่งไปเอากระเป๋าได้ด้วยตัวเอง เพราะผู้ชายพวกนั้นคิดว่าตัวเองมีแรงเยอะกว่า จนลืมใช้หัวคิดว่า โจรจะวิ่งไปทางไหน ดั่งประโยคที่อนงค์พูดว่า “ผู้หญิงอาจจะไม่มีกล้าม แต่เรามีสติปัญญา” เนื่องจากอนงค์เติบโตมาโดยเห็นว่าผู้ชายหลายคนชอบโอ้อวดว่าตัวเองมีพละกำลังเหนือผู้หญิง เธอจึงมีทัศนคติในการมองผู้ชายว่า หลายคนพยายามจะเป็นฝ่ายปกป้องผู้หญิง โดยที่บางครั้ง นั่นก็เป็นการเหยียดผู้หญิงว่า “ทำอะไรไม่เป็น” หรือ “ปกป้องตัวเองไม่ได้” อยู่ลึกๆ ทั้งโดยตั้งใจ และไม่ตั้งใจ นำไปสู่การไม่ปล่อยให้ผู้หญิงได้คิดหรือทำอะไรด้วยตัวเอง
บทพูดหนึ่งของอนงค์ที่ทำให้หลายคนประทับใจคือ “การโตมากับพี่ชายทำให้รู้ว่า พวกเขา (ผู้ชาย) ชอบเห็นเราอ่อนแอ” เพื่อจะได้กะเกณฑ์ผู้หญิงทุกอย่างให้เชื่อฟัง และคิดว่าสิ่งนั้นดีกับตัวผู้หญิงที่สุดแล้ว เนื่องจาก “ทุกคนชอบคิดว่าผู้หญิงต้องมีเจ้าของ ตอนเด็กต้องมีผู้ปกครอง โตมาก็ต้องมีครูคอยอบรมบ่มนิสัย พอเรียนจบก็ต้องรีบหาสามีราวกับว่า นั่นคือเส้นชัย แล้วผู้หญิงอย่างเราจะมีโอกาสเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองตอนไหนคะ?” ข้อความนี้ของอนงค์ถูกเน้นย้ำให้เห็นอีก จากการที่พี่ชายพยายามยัดเยียดผู้ชายที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสมกับอนงค์อยู่ตลอดเวลา แทนที่จะคอยดูห่างๆ อย่างห่วงๆ เพื่อให้อนงค์ได้เลือกคนรักอย่างอิสระ และการเข้ามามีส่วนในการตัดสินเลือกคู่ครั้งนี้ ก็ทำให้อนงค์ได้เจอกับผู้ชายแย่ๆ มากมาย เพราะผู้ชายเหล่านั้นไม่ได้ดีในสายตาผู้หญิงเลย
ขณะเดียวกัน ผู้หญิงด้วยกันเอง ก็มีหลายต่อหลายคนไม่ชอบอนงค์ เธอถูกเรียกว่า “อีสำเพ็ง” เพราะมองว่าการที่เธอโอบกอดผู้ชายอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องประเจิดประเจ้อ ดูไม่รักนวลสงวนตัวตามขนบความเป็นหญิง หรือการที่เธอไปค้างคืนต่างจังหวัดกับผู้ชาย คนก็มองว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่ ซึ่งหากมองกลับกัน ผู้ชายกลับไม่ได้ถูกมองด้วยอคติในลักษณะเดียวกัน? ซึ่งนั่นก็สะท้อนให้เห็นว่าสังคมในสมัยนั้นมองว่าร่างกายผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่สามารถแปดเปื้อนได้ ต่างจากผู้ชาย และที่น่าสนใจคือ แม้จะผ่านมาถึงยุคนี้แล้ว ผู้หญิงบางคนก็ยังต้องเผชิญกับสายตาอคติเพียงเพราะจริตบางอย่างของพวกเธอเช่นเดียวกัน
คุณพระ จึงเป็นผู้ชายหนึ่งในร้อยของอนงค์ ที่เข้าใจตัวเธอ ท่ามกลางคนอื่นที่ไม่เข้าใจ เขาคอยบอกว่าให้อนงค์เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง เขาใส่ใจอนงค์ด้วยการกระทำเล็กๆ โดยที่ไม่ยัดเยียดตัวเองว่าเหนือกว่าอนงค์ แต่ช่วยเหลือกันเพราะเป็นมนุษย์ด้วยกัน และมีส่วนเปิดมุมมองของอนงค์ให้กว้างขึ้นไปอีก เพราะแม้อนงค์จะหัวสมัยใหม่ แต่ใช่ว่าอนงค์จะเข้าใจผู้ชายทุกคนบนโลก หรือสามารถตัดสินผู้ชายทุกคนได้เลย เช่น การที่เธอตัดสินคนเป็นพ่อหม้ายว่ามีปัญหาเรื่องนิสัย เพราะไม่สามารถประครองความรักไปได้ ทั้งที่พ่อหม้ายบางคนก็เต็มที่กับความสัมพันธ์ และต่างมีเงื่อนไขของตัวเอง เหมือนกับคุณพระที่นิสัยดีขนาดนี้ แต่ก็เป็นพ่อหม้ายได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่อนงค์จะได้เรียนรู้ที่จะมองโลกให้หลายด้านมากขึ้นต่อไป
นอกจากเส้นเรื่องรักโรแมนติกแล้ว ละครเรื่องนี้ยังมีเรื่องของคดีสืบสวนสอบสวนเข้ามาให้ผู้ชมได้ร่วมไขปริศนาคดีต่างๆ ไปกับพระเอกของเรา และยังมีการฉายภาพของผู้หญิงหัวก้าวหน้าอีกคนอย่าง จันทร (หลิงหลิง คอง) ที่แม้จะไม่ได้มีต้นทุนชีวิตที่ดี หรือร่ำรวยแบบอนงค์ แต่เธอก็เป็นหญิงสาวที่กล้าจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม แม้จะเคยถูกหลอกแต่ก็ไม่อายที่จะยืนหยัดเพื่อคืนอำนาจให้กับคนเป็นเหยื่อ และเธอยังอ่านหนังสือ Little Women ที่เป็นอีกหนึ่งตำนานหนังสือที่บอกเล่าแนวคิดเฟมินิสม์ ซึ่งหลายคนชื่นชอบอีกด้วย
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ‘อนงค์’ สาวนอกขนบแห่งยุค 2470s นางเอกจากละคร ‘หนึ่งในร้อย’ ที่ความก้าวหน้าของเธอในยุคนั้น ยังคงทำงานกับผู้หญิงในยุคนี้
- Zoë Kravitz กับการกำกับหนัง BLINK TWICE เรื่องของปาร์ตี้ชุดขาวที่ล่อลวงคนไปเป็นทาสเซ็กซ์ ซึ่งทำให้หลายคนนึกถึงปาร์ตี้ Freak Off ของ Diddy
- The Substance โลกจำลองแสนบ้าคลั่ง ของผู้หญิงที่ต้องดิ้นรนหนีความร่วงโรยภายใต้กับดักของคำว่า ‘เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด’
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com