โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เปิดเหตุผล แอป K PLUS บุกเวียดนาม

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 26 มิ.ย. 2566 เวลา 08.05 น. • เผยแพร่ 25 มิ.ย. 2566 เวลา 03.36 น.

เปิดเหตุผล กสิกรไทย ส่ง KBTG ตั้งออฟฟิศเวียดนาม ฐานเทคโนโลยีแห่งที่ 3 ในเอเชีย เดินหน้าธนาคารดิจิทัล ตั้งเป้า กวาดผู้ใช้แอป K PLUS 8.4 ล้านคนในปี 2571

“ขัตติยา อินทรวิชัย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดเผยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจะโดดเด่นอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกอบไปด้วยคนวัยแรงงานจำนวนมาก ซึ่งธนาคารกสิกร มีเป้าหมายที่จะขยายสาขาทั่วภูมิภาค โดยใช้ความเป็น “ดิจิทัล” และเทคโนโลยีการเงินในการเข้าถึงประชากรในประเทศต่าง ๆ

ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดสาขาที่ประเทศเวียดนามมาเป็นเวลากว่า 1 ปีแล้ว ล่าสุดเพิ่งมีการเปิดสำนักงานบริษัท กสิกร บิสิเนส เทคโนโลยี กรุ๊ป หรือ KBTG ที่นครโฮจิมินห์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจของเวียดนาม ถือว่าเป็นออฟฟิศทางเทคโนโลยีแห่งที่ 3 ในเอเชีย (KBTG ไทย, KBTG เวียดนาม, KLabs ในจีน)

KBTG เป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกร ถูกเรียกว่า “ฐานทัพทางเทคโนโนโลยี” ของธนาคาร รับผิดชอบโดยตรงในการพัฒนาและบริหารจัดการแอปพลิเคชั่น K PLUS หรือ K+ ซึ่งถูกเรียกว่าเป็น “Arm of Kbank” เป็นทั้งแขนขาและอาวุธของธนาคาร เติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงปีมีผู้ใช้งานชาวเวียดนามแล้วเฉียดล้านบัญชี ตั้งเป้า 1.3 ล้านบัญชีในสิ้นปีนี้

ในการเปิดตัวสำนักงานใหม่ ผู้บริหารธนาคารกสิกรหลายคน ได้ตบเท้าขึ้นโชว์วิสัยทัศน์และเปิดเผยมุมมองต่อการขยายสาขา ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมเหตุผลว่าทำไม KBTG ต้องมาเริ่มต้นที่เวียดนาม ดังนี้

1.อัตราการใช้งานดิจิทัลเติบโตเร็ว

ด้วยกสิกร ต้องการขยายสาขาให้เป็นธนาคารดิจิทัลทั่วภูมิภาค ซึ่งประชากรที่อยู่ในวัยแรงงานและมีกำลังซื้อสูงขณะนี้มี 2 ประเทศ คืออินโดนีเซียและเวียดนาม ประกอบกับการปรับใช้เทคโนโลยีด้านการเงินของกลุ่มประชากรเหล่านี้ก้าวข้ามจากเน็ตแบงก์ที่ใช้เว็บไซต์เป็นหลัก มาเป็นดิจิทัลแบงกิ้งที่ใช้แอปพลิเคชั่นมือถือเลย เพราะพวกเขาเติบโตในยุคสมาร์ทโฟนและมีอัตราการใช้งานดิจิทัลที่คล้ายกับไทย คือ นิยมการในช็อปผ่านอีคอมเมิร์ซ เล่นเกมเกือบทั้งประเทศ และมีทักษะในการใช้ดิจิทัลที่ดี

2.คนเวียดนามนิยมเปิดบัญชี ดิจิทัลแบงกิ้ง โอกาสของ K PLUS

เวียดนามมีธนาคารท้องถิ่นอยู่จำนวนมาก แต่เป็นธนาคารที่อยู่มายาวนาน มีสาขาอยู่มาก ทำให้การขยับตัวสู่ดิจิทัลทำได้ช้า แม้มีการอนุญาตให้เปิดบัญชีออนไลน์และทำการ e-KYC ได้อย่างรวดเร็ว แต่ต้องลงทุนและปรับ Core Banking อีกมาก ขณะที่ KBTG มีองค์ความรู้และทรัพยากรที่พร้อมจะสเกลออกไปให้ผู้ใช้งานในเวียดนามได้ทันที และกสิกรจะไปเริ่มดเวยการเป็นธนาคารดิจิทัล ทำให้ “ตัวเบา” ขยับและสเกลได้ง่ายกว่า

3.ประชากรวัยแรงงานกำลังเติบโต

ประชากรวัยแรงงานเป็นตัวชี้วัดแรงซื้อที่จะหมุนเวียนในระบบอีกนาน โดยประชากรช่วงอายุ 15-64 ปี ของเวียดนามมีจำนวน 67.8 ล้านคนในปี 2020 ประมานการว่าจะเพิ่มเป็น 71 ล้านคนในปี 2030 ขณะที่ประเทศไทยมี 48.5 ล้านคนในปี 2020 และจะลดลงเหลือ 45.4 ล้านคนในปี 2030

4.เวียดนามมีอัตราวิศกรสูงที่สุดในอาเซียน มีทักษะซอฟต์แวร์อันดับสอง

นอกจากประชากรวัยแรงงานจะเติบโตแล้ว จำนวนผู้ที่สำเร็จการศึกษาในสายวิทยาศาสตร์-วิศวกรรม มีมากถึง 22.6 ล้านคนในปี 2020 ขณะที่ไทยมี 19.6 ล้านคน

และเมื่อเทียบอัตราส่วน “วิศวกร” 1.35 คนต่อพันประชากรวัยแรงงาน ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่สิงคโปร์มี 1.25 คนต่อพันประชากรมากเป็นอันดับสอง ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 5 มี 0.85 คนต่อพันประชากรวัยแรงงาน

นอกจากนี้ในบรรดาผู้สำเร็จการศึกษาสายวิทยาศาสตร์-วิศวกรในเวียดนาม ประกอบด้วยผู้ที่มีทักษะซอฟต์แวร์-โค้ดดิ้ง เป็นอันสองในอาเซียน มีมีทักษะด้านเอไอมากติดอันดับ 3 ของโลก

5.แรงงานด้านเทคโนโลยีของเวียดนามเป็นกุญแจสู่อาเซียนของธนาคารกสิกรไทย

เวียดนามมีประชากรกว่าร้อยล้านคน การสเกลแอปพลิเคชั่นธนาคารให้ดูแลครอบคลุมประชากรจำนวนมากในประเทศนี้ จำเป็นต้องมีวิศวกรซอฟต์แวร์และนักพัฒนาจำนวนที่มากพอจะช่วยบำรุงระบบและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ

และยังต้องพัฒนาโปรดักส์ทางการเงินเพื่อให้แอป K PLUS Vietnam ตอบโจทย์คนเวียดนาม ด้วยทรัพยากรบุคคลด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่มากในเวียดนาม จะทำให้ KBTG ขยายทีมพัฒนาจาก 200 คนในเวียดนาม (ในปัจจุบัน KBTG มีพนักงานไทยเพียง 3 คนใน 200 คน) เป็น 500 คน เมื่อรวมกับทีมพัฒนา KBTG ที่ไทยจะทำให้มีทีมพัฒนาระบบ K PLUS จำนวน 3,000 คนในระยะเวลา 3 ปี

ทีมพัฒนาและประสบการณ์ที่ได้จากเวียดนามรวมทั้งทีมสนับสนุนในไทย และทีมพัฒนา Deep Tech ที่ KLabs ในจีน จะทำให้ KBTG เชื่อมโยงองค์ความรู้และทรัพยากรเพื่อขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนได้เร็วขึ้น ซึ่งประเทศต่อไปอาจเป็น “อินโดนีเซีย” เพื่อสานฝัน “ธนาคารดิจิทัลแห่งภูมิภาค”

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...