โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

หุ้น การลงทุน

ส่องอนาคต BEM – BTS ท่ามกลางแรงกดดันจากภาครัฐ

Wealthy Thai

อัพเดต 10 ส.ค. 2566 เวลา 02.17 น. • เผยแพร่ 20 มี.ค. 2566 เวลา 13.19 น.

ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขนส่งทางรางอย่าง BEM และ BTS ต่างเผชิญความเสี่ยงจากภาครัฐ โดย BEM แม้จะถูกประกาศเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม แต่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันปฏิเสธที่จะอนุมัติโครงการ เพราะยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล คณะรัฐมนตรีอยากให้ศาลมีคำตัดสินก่อนจึงจะอนุมัติโครงการ
ส่วน BTS ถูกเลื่อนเซ็นสัญญาโครงการออกไปเช่นกัน เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กำลังตรวจสอบว่า สัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่ง BTS ออกมายืนยันว่าการทำสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย โดยปี 2550 คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า การจ้างเอกชนเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไม่ใช่การร่วมลงทุนหรือให้สิทธิสัมปทานภายใต้กฎหมายร่วมทุน และ ปี 2555 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ได้ทำการสอบสวนและเห็นควรไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ทั้ง 2 ประเด็นข้างต้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นของ BEM และ BTS ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่า แม้ทั้ง 2 หลักทรัพย์จะเผชิญความไม่แน่นอนจากภาครัฐ แต่ในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ด้านผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโต คาดจะปรับตัวดีขึ้นตามปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยนักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี ระบุว่า จากกรณีของ BEM ที่การอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลชุดหน้า คาดว่ากรอบระยะเวลาเร็วที่สุดที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติคือเดือนก.ค. 66 ส่วน BTS ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาได้ ค่อนข้างชัดเจน และน่าเชื่อถือ ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าประเด็นค้างคาในเรื่องนี้จะกดราคาหุ้นเอาไว้จนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน ซึ่งอาจจะลากยาวไปจนอีกสามปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาครัฐเพิ่มขึ้น แต่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2566 จะยังเพิ่มขึ้นจากการจราจรที่เพิ่มขึ้น โดยมองปัจจัยพื้นฐานของ BEM และ BTS ยังคงแข็งแกร่ง ปริมาณรถใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้นทั้งคู่ จากข้อมูลของ BEM ทั้งปริมาณรถใช้ทางด่วนและจำนวน ผู้โดยสารรถไฟฟ้าในเดือนม.ค. 66 เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาส 1/65 และ 4/65
ส่วนกรณีของ BTS ซึ่งดำเนินการทั้งเส้นทางหลักและส่วนต่อขยายก็น่าจะมีการเติบโตในทำนองเดียวกัน ดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการของทั้งสองบริษัทจะพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2566
สำหรับ BEM ฝ่ายวิเคราะห์เลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม โดยคาดว่ารายได้ปี 2566 จะอยู่ที่ 1.695 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% จากปีก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจรถไฟฟ้า และคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3.7 พันล้านบาท เติบโต 54% จากปีก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเพราะได้อานิสงส์จาก operational leverageแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท อย่างไรก็ตาม หาก BEM ไม่ได้เซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ราคาเป้าหมายจะลดลงเพียง 1 บาทเท่านั้น (หรือ 10%)
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย)ก็ระบุในทิศทางเดียวกัน โดยประมาณการกำไรปกติ BEM ปี 2566 ที่ 3.8 พันล้านบาท เติบโต 55.2% จากปีก่อน จากจำนวนผู้ใช้ทางด่วนที่คาดกลับเข้าสู่สภาวะปกติที่ 1.1-1.2 ล้านเที่ยวต่อวัน
ด้านธุรกิจระบบรางคาดจะได้แรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน ประเมินจำนวนผู้ใช้เฉลี่ยในปีนี้จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่4.2 แสนเที่ยวต่อวัน สะท้อน Synergy ของการเปิดให้บริการสายสีน้ำเงินครบวงและการเปิดให้บริการสถานีศูนย์ประชุมสิริกิติ์ในช่วงปลายปี 2565 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 11.50 บาท
ส่วน BTS บล.กรุงศรี ระบุว่า มองบวกกับแนวโน้มของบริษัทในระยะกลางถึงยาว แต่ภาพในระยะสั้นยังเปราะบางเพราะบริษัทลูก โดยเฉพาะ VGI (BTS ถือหุ้น 52%) น่าจะกลับไปขาดทุนอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี 65/66 (เดือนม.ค. - มี.ค. 66)ขณะเดียวกันคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าจะฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะเส้นทางสายหลัก
ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ประมาณ 5.68แสนเที่ยว (ต่ำกว่าช่วงก่อน Covid-19 ระบาด 23%) ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะกลับไปอยู่ระดับก่อน Covid-19 ระบาดได้ภายในเดือนส.ค. 66เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถึงหนึ่งปี ซึ่งหากเป็นไปตามนั้นจริง ก็จะถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับ BTSGIF
นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองมีกำหนดจะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนมิ.ย.และ ส.ค. 66 ตามลำดับ แต่ในช่วงสามเดือนแรกจะเป็นช่วงทดลองวิ่งเท่านั้น หลังจากนั้นจึงจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ประเมินว่าในไตรมาส 4 ปี 65/66 (เดือนม.ค. - มี.ค. 66)ค่าใช้จ่ายของ VGI มีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากธุรกิจใหม่ของบริษัทและจำเป็นต้องสร้างรากฐานโดยเฉพาะในส่วนของพนักงาน
โดยปรับลดประมาณการกำไรของ BTS ในปี 2565/2566ลงเป็น 2,163 ล้านบาท ลดลง 43.47% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่ออิงตามประมาณใหม่ คาดว่าผลประกอบการของ BTS น่าจะพลิกมาเป็นขาขึ้นได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จากการพลิกฟื้นของ BTSGIF เพราะจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่สื่อ OOH ของ VGI ก็ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งเช่นกัน
ส่วนคำแนะนำลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์มองกรณีสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะค้างคาไปจนกว่าปปช. จะยกเลิกข้อกล่าวหาหรือศาลไม่รับฟ้อง ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้ข้อสรุป โดยบริษัทจะไม่ตั้งสำรองจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
ดังนั้น แนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 10 บาท เพื่อเก็งกำไร แต่ให้รอจังหวะที่ราคาตกลงมาสุดๆ ประเมินกรณีเลวร้ายที่สุดที่ราคา 6.40 บาท หลังหักมูลค่าสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าฯ ที่ 3 บาทต่อหุ้นไปแล้ว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...