ส่องอนาคต BEM – BTS ท่ามกลางแรงกดดันจากภาครัฐ
ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขนส่งทางรางอย่าง BEM และ BTS ต่างเผชิญความเสี่ยงจากภาครัฐ โดย BEM แม้จะถูกประกาศเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม แต่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันปฏิเสธที่จะอนุมัติโครงการ เพราะยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล คณะรัฐมนตรีอยากให้ศาลมีคำตัดสินก่อนจึงจะอนุมัติโครงการ
ส่วน BTS ถูกเลื่อนเซ็นสัญญาโครงการออกไปเช่นกัน เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) กำลังตรวจสอบว่า สัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่ง BTS ออกมายืนยันว่าการทำสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย โดยปี 2550 คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า การจ้างเอกชนเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายไม่ใช่การร่วมลงทุนหรือให้สิทธิสัมปทานภายใต้กฎหมายร่วมทุน และ ปี 2555 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)ได้ทำการสอบสวนและเห็นควรไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ทั้ง 2 ประเด็นข้างต้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันราคาหุ้นของ BEM และ BTS ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่า แม้ทั้ง 2 หลักทรัพย์จะเผชิญความไม่แน่นอนจากภาครัฐ แต่ในแง่ปัจจัยพื้นฐาน ด้านผลประกอบการในปี 2566 ยังคงเติบโต คาดจะปรับตัวดีขึ้นตามปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยนักวิเคราะห์จากบล.กรุงศรี ระบุว่า จากกรณีของ BEM ที่การอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลชุดหน้า คาดว่ากรอบระยะเวลาเร็วที่สุดที่คาดว่าจะได้รับการอนุมัติคือเดือนก.ค. 66 ส่วน BTS ออกมาชี้แจงข้อกล่าวหาได้ ค่อนข้างชัดเจน และน่าเชื่อถือ ฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าประเด็นค้างคาในเรื่องนี้จะกดราคาหุ้นเอาไว้จนกว่าศาลจะมีคำตัดสิน ซึ่งอาจจะลากยาวไปจนอีกสามปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาครัฐเพิ่มขึ้น แต่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในปี 2566 จะยังเพิ่มขึ้นจากการจราจรที่เพิ่มขึ้น โดยมองปัจจัยพื้นฐานของ BEM และ BTS ยังคงแข็งแกร่ง ปริมาณรถใช้ทางด่วนและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้ากำลังเพิ่มขึ้นทั้งคู่ จากข้อมูลของ BEM ทั้งปริมาณรถใช้ทางด่วนและจำนวน ผู้โดยสารรถไฟฟ้าในเดือนม.ค. 66 เพิ่มขึ้นทั้งจากไตรมาส 1/65 และ 4/65
ส่วนกรณีของ BTS ซึ่งดำเนินการทั้งเส้นทางหลักและส่วนต่อขยายก็น่าจะมีการเติบโตในทำนองเดียวกัน ดังนั้นจึงคาดว่าผลประกอบการของทั้งสองบริษัทจะพุ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2566
สำหรับ BEM ฝ่ายวิเคราะห์เลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม โดยคาดว่ารายได้ปี 2566 จะอยู่ที่ 1.695 หมื่นล้านบาท เติบโต 21% จากปีก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจรถไฟฟ้า และคาดกำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 3.7 พันล้านบาท เติบโต 54% จากปีก่อน จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นและอัตรากำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นเพราะได้อานิสงส์จาก operational leverageแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 11.50 บาท อย่างไรก็ตาม หาก BEM ไม่ได้เซ็นสัญญาโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ราคาเป้าหมายจะลดลงเพียง 1 บาทเท่านั้น (หรือ 10%)
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบล.หยวนต้า (ประเทศไทย)ก็ระบุในทิศทางเดียวกัน โดยประมาณการกำไรปกติ BEM ปี 2566 ที่ 3.8 พันล้านบาท เติบโต 55.2% จากปีก่อน จากจำนวนผู้ใช้ทางด่วนที่คาดกลับเข้าสู่สภาวะปกติที่ 1.1-1.2 ล้านเที่ยวต่อวัน
ด้านธุรกิจระบบรางคาดจะได้แรงหนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีน ประเมินจำนวนผู้ใช้เฉลี่ยในปีนี้จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่4.2 แสนเที่ยวต่อวัน สะท้อน Synergy ของการเปิดให้บริการสายสีน้ำเงินครบวงและการเปิดให้บริการสถานีศูนย์ประชุมสิริกิติ์ในช่วงปลายปี 2565 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2566 ที่ 11.50 บาท
ส่วน BTS บล.กรุงศรี ระบุว่า มองบวกกับแนวโน้มของบริษัทในระยะกลางถึงยาว แต่ภาพในระยะสั้นยังเปราะบางเพราะบริษัทลูก โดยเฉพาะ VGI (BTS ถือหุ้น 52%) น่าจะกลับไปขาดทุนอีกครั้งในไตรมาส 4 ปี 65/66 (เดือนม.ค. - มี.ค. 66)ขณะเดียวกันคาดว่าจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าจะฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะเส้นทางสายหลัก
ทั้งนี้ จำนวนผู้โดยสารเดือนม.ค. 66 อยู่ที่ประมาณ 5.68แสนเที่ยว (ต่ำกว่าช่วงก่อน Covid-19 ระบาด 23%) ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะกลับไปอยู่ระดับก่อน Covid-19 ระบาดได้ภายในเดือนส.ค. 66เร็วกว่าที่คาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ถึงหนึ่งปี ซึ่งหากเป็นไปตามนั้นจริง ก็จะถือเป็นสัญญาณบวกสำหรับ BTSGIF
นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองมีกำหนดจะเริ่มเปิดดำเนินการในเดือนมิ.ย.และ ส.ค. 66 ตามลำดับ แต่ในช่วงสามเดือนแรกจะเป็นช่วงทดลองวิ่งเท่านั้น หลังจากนั้นจึงจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ประเมินว่าในไตรมาส 4 ปี 65/66 (เดือนม.ค. - มี.ค. 66)ค่าใช้จ่ายของ VGI มีแนวโน้มจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากธุรกิจใหม่ของบริษัทและจำเป็นต้องสร้างรากฐานโดยเฉพาะในส่วนของพนักงาน
โดยปรับลดประมาณการกำไรของ BTS ในปี 2565/2566ลงเป็น 2,163 ล้านบาท ลดลง 43.47% จากปีก่อน อย่างไรก็ตาม เมื่ออิงตามประมาณใหม่ คาดว่าผลประกอบการของ BTS น่าจะพลิกมาเป็นขาขึ้นได้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป จากการพลิกฟื้นของ BTSGIF เพราะจำนวนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ในขณะที่สื่อ OOH ของ VGI ก็ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งเช่นกัน
ส่วนคำแนะนำลงทุน ฝ่ายวิเคราะห์มองกรณีสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะค้างคาไปจนกว่าปปช. จะยกเลิกข้อกล่าวหาหรือศาลไม่รับฟ้อง ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นปีกว่าจะได้ข้อสรุป โดยบริษัทจะไม่ตั้งสำรองจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา
ดังนั้น แนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 10 บาท เพื่อเก็งกำไร แต่ให้รอจังหวะที่ราคาตกลงมาสุดๆ ประเมินกรณีเลวร้ายที่สุดที่ราคา 6.40 บาท หลังหักมูลค่าสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าฯ ที่ 3 บาทต่อหุ้นไปแล้ว