“อาเซียน” โชว์พลังบนเวทีโลก ปัญหาภายในยังไร้คำตอบ เมียนมา-ทะเลจีนใต้-ภาษีทรัมป์ยังไร้ท่าที
แม้การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ อาเซียน ดึงผู้นำโลกเข้าร่วม สะท้อนบทบาทบนเวทีโลกอย่างเด่นชัด แต่ปัญหาภายในกลับไร้ความคืบหน้า นักวิชาการเตือนว่ารอยร้าวภายในอาจบั่นทอนเอกภาพระยะยาว
วันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เวลา 07.40 น. สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานว่า อาเซียน แสดงบทบาทบนเวทีโลกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการจัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศในเวที ARF (ASEAN Regional Forum) ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีรัฐมนตรีจากประเทศมหาอำนาจเข้าร่วมอย่างคับคั่ง
แต่ในขณะที่เวทีภายนอกดูโดดเด่น เวทีภายในกลับสะท้อนถึงการไร้ความคืบหน้าในการจัดการกับปัญหาภายในภูมิภาคที่ซับซ้อนหลายประเด็น
ข้อพิพาททะเลจีนใต้ สงครามกลางเมืองในเมียนมา และความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ถูกกล่าวถึงเพียงผ่าน ๆ โดยไม่มีข้อเสนอรูปธรรม และยังไม่เห็นแนวโน้มที่อาเซียนจะสร้างแนวร่วมที่เคยให้คำมั่นไว้ในการรับมือกับนโยบายภาษีแบบต่างตอบแทนของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ
บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศจากสหรัฐ จีน รัสเซีย และสหภาพยุโรปต่างเดินทางมาร่วมประชุมในฐานะคู่เจรจาภายนอกของอาเซียน โดยรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย นายโมฮัมหมัด ฮัสซัน ผู้เป็นเจ้าภาพ กล่าวว่า การเข้าร่วมของประเทศมหาอำนาจสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของอาเซียนในระดับโลก
ฮัสซันกล่าวในการแถลงข่าวเย็นวันศุกร์ว่า“การปรากฏตัวของคู่เจรจาและพันธมิตรภายนอกของอาเซียนในปีนี้ สะท้อนว่าอาเซียนเป็นเวทีที่สามารถรวบรวมผู้เล่นสำคัญในภูมิภาคและระดับโลกไว้ด้วยกันได้”
แถลงการณ์ของประธาน ARF ที่เผยแพร่เมื่อวันเสาร์ ยืนยันบทบาทของเวทีดังกล่าวว่าเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค และควรรักษาความเกี่ยวข้องและประสิทธิภาพในฐานะเวทีการเมือง–ความมั่นคงที่ครอบคลุมซึ่งขับเคลื่อนโดยอาเซียน
สหรัฐ-จีนมองอาเซียนเป็นเวทีสำคัญท่ามกลางความตึงเครียด
มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ แห่งรัสเซีย และคายา คัลลาส ผู้แทนระดับสูงด้านการต่างประเทศของ EU ต่างกล่าวชื่นชมบทบาทของอาเซียน ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดระหว่างประเทศกำลังทวีขึ้น เช่น ภาษีตอบโต้ของทรัมป์ที่กำลังจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม
ฮัสซันกล่าวว่า อาเซียนสามารถรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจได้ดี โดยระบุว่า “สหรัฐยังเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุด ขณะที่จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเรา เราไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เราคือเขตแห่งสันติภาพและความเป็นกลาง และเรากำลังรักษาสมดุลระหว่างมหาอำนาจอย่างเหมาะสม”
รูบิโอกล่าวว่า อาเซียนยังคงเป็นช่องทางทางการทูตหลักของสหรัฐในภูมิภาค โดนระบุว่า “สหรัฐมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในภูมิภาคนี้ เราคือชาติแปซิฟิก และเป็นแหล่งลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของภูมิภาค”
หวัง อี้ ย้ำถึงสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างจีนกับอาเซียน โดยอ้างถึงการเยือนเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาในเดือนเมษายนของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง การสรุปการเจรจาเขตการค้าเสรีอาเซียน–จีน ระยะที่ 3 และความร่วมมืออาเซียน–จีน–กลุ่มอ่าวอาหรับ (GCC)
“เมื่อเอเชียเจริญรุ่งเรือง โลกก็เจริญรุ่งเรือง จีนให้ความสำคัญกับอาเซียนมาโดยตลอด และเห็นว่าอาเซียนเป็นผู้นำในการสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน”
เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวเสริมว่า อาเซียนมีความสำคัญต่อความมั่นคงและความมั่งคั่งของออสเตรเลีย โดยระบุว่า “อาเซียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลประโยชน์ของชาติออสเตรเลีย นั่นคือเหตุผลที่เราฟื้นความสัมพันธ์และเพิ่มระดับการมีส่วนร่วมกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
ด้านคายา คัลลาส แห่ง EU มองว่า อาเซียนคือโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ เป็นหุ้นส่วนที่สมเหตุสมผล และมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการค้าของเรา …ในสงครามการค้า ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ
ภายในอาเซียน ความล่าช้าและความแตกแยก
อย่างไรก็ตามเมื่อหันกลับมามองภายใน ภาพของอาเซียนกลับต่างออกไป การจัดทำแนวปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of Conduct) ถูกเลื่อนอีกครั้งไปเป็นปลายปี 2568 หลังจากพลาดเป้าหมายเดิมในปี 2567 โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฉบับสุดท้ายยังตัดข้อความเดิมที่เรียกร้องให้ไม่ทำให้พื้นที่ที่มีข้อพิพาทกลายเป็นพื้นที่ทางทหาร
ในประเด็นเมียนมา ความกังวลเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้งที่รัฐบาลทหารวางแผนจัดขึ้นปลายปีนี้ โดยฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ฮัสซันกล่าว พร้อมเน้นว่าความสงบและการยุติการสู้รบต้องมาก่อน โดยระบุว่า “ผมเคยพูดไปแล้วว่า การเลือกตั้งต้องมีความครอบคลุม เป็นธรรม และโปร่งใส หากการเลือกตั้งไม่ครอบคลุมก็ไม่มีความหมายอะไร”
เขายังเตือนว่าหากไม่มีการเจรจาที่ครอบคลุม การเลือกตั้งดังกล่าวจะไม่ถูกมองว่าชอบธรรม และเปิดเผยว่าจะเดินทางไปพบพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ในเดือนกันยายนหรือตุลาคม ส่วนข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นหารือ โดยฮัสซันกล่าวว่า “เราไม่ได้หารือเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องภายในประเทศตามกฎบัตรอาเซียน”
นักวิชาการชี้อาเซียนกำลังกลายเป็นเวทีที่ไร้เอกภาพ
บริจิต เวลช์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม สถาบันเอเชียมาเลเซีย ระบุว่า ความแตกแยกภายในของอาเซียน “ทำให้กลุ่มไม่มีประสิทธิภาพ” และปัญหานี้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“อาเซียนไม่ได้ขาดวิสัยทัศน์ แต่มันกลายเป็นเวทีที่แบกรับหลายบทบาทเกินไป ถูกจำกัดด้วยกลไกการตัดสินใจแบบฉันทามติที่ขาดความคล่องตัว”
เธอระบุว่าความเห็นต่างเรื่องเมียนมากลายเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ เมื่อสหรัฐและจีนต่างเร่งขยายอิทธิพลในภูมิภาค คำถามคือ อาเซียนจะถูกยอมรับในฐานะพันธมิตรทางยุทธศาสตร์อย่างแท้จริง หรือเป็นเพียงเวทีที่สะดวกสำหรับการช่วงชิงอำนาจ?
มาร์ก มานันตัน ผู้อำนวยการด้านความมั่นคงไซเบอร์และเทคโนโลยีวิกฤต แห่ง Pacific Forum เตือนว่า หากประเทศสมาชิกอาเซียนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์แห่งชาติมากกว่าการรวมพลัง จะส่งผลเสียต่อเอกภาพของอาเซียนในการตอบสนองต่อมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ
“การต่างคนต่างต่อรองกับสหรัฐฯ จะทำลายความแน่วแน่ของกลุ่ม และแม้แต่ประเทศที่ไม่ได้โดนภาษีโดยตรง ก็อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกันในภูมิภาคนี้”
อ้างอิง : asia.nikkei.com