โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สังคม

กระทรวงสาธารณสุข-ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมแถลงจับขบวนการสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย พบ ‘หมอแอร์’ เอี่ยว 11 คลินิก

THE ROOM 44 CHANNEL

เผยแพร่ 11 มิ.ย. เวลา 06.44 น.

กระทรวงสาธารณสุข-ตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมแถลงจับขบวนการสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย พบ ‘หมอแอร์’ เอี่ยว 11 คลินิก ใช้ชื่อผู้เสียชีวิตปลอมสั่งยา

วันที่ 11 มิ.ย. 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ บช.ปส. ร่วมแถลงข่าวกรณีการจับกุมขบวนการลักลอบสั่งยานอนหลับผิดกฎหมาย

ภายหลังการจับกุม พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือ “หมอแอร์” แพทย์ประจำโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งยานอนหลับจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ผ่านคลินิกในเครือข่ายรวม 11 แห่งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยทั้งหมดเป็นคลินิกเวชกรรม จากนั้นมีการนำยาไปเก็บพักไว้ก่อนจำหน่ายต่อให้กลุ่มผู้ซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมักนำไปใช้เป็น “ยาเสียสาว”

พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า คดีนี้เริ่มจากการได้รับการประสานจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 หลังพบความผิดปกติในการสั่งซื้อวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 โดย อย. ได้แจ้งข้อมูลและมอบหมายให้ บช.ปส. ดำเนินการสืบสวน

จากการสอบสวนและรวบรวมหลักฐานอย่างต่อเนื่อง จนนำไปสู่การออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 7 ราย ได้แก่
1. พ.ต.อ.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล ผู้สั่งซื้อยาวัตถุออกฤทธิ์
2. นายดุริยลักษณ์ อุปชัย ทำหน้าที่เก็บรักษายา
3. น.ส.ณัธพัชร์ ดิรโขติ ทำหน้าที่นายทุนและผู้สั่งการ
4. นายปกรณ์ จันทร์เทพ ผู้ร่วมขบวนการ
5. นายอรชุน จันทรนาม ลูกค้าและผู้สั่งยา ซึ่งเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาที่ถูกจับก่อนหน้านี้
และ ผู้ต้องหาอีก 2 รายที่ถูกจับได้ในที่เกิดเหตุ พร้อมของกลางยานอนหลับจำนวนกว่า 170,400 เม็ด

พล.ต.ท. สันติ ชัยนอริมัย ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เปิดเผยว่า การดำเนินคดีครั้งนี้ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหา และหลังจากได้รับการแจ้งจาก อย. ในเดือนกันยายน 2567 ได้มีการสืบสวนติดตามเส้นทางการเงินและการกระจายยา พบพฤติการณ์ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งการสั่งซื้อ การส่งต่อให้กลุ่มทุน และการจำหน่ายต่อให้ผู้ค้ารายย่อย

พยานหลักฐานทั้งหมดมีความสอดคล้องกันอย่างชัดเจน จึงนำไปสู่การออกหมายจับและดำเนินการจับกุมผู้ต้องหา

พล.ต.ท.สำราญ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในผู้ต้องหามีตำแหน่งเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับทราบเรื่องและกำชับให้ดำเนินการตามกฎหมายและวินัยอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะเป็นใครหรือมีตำแหน่งใดก็ตาม

ด้าน พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 1 เปิดเผยว่า หลังได้รับข้อมูลจาก อย. ได้ตรวจสอบคลินิกที่ได้รับอนุญาตให้จัดจ่ายยา พบว่ามีการลักลอบนำวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ออกนอกระบบ โดยเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจนพบว่ามียาถูกลำเลียงไปเก็บไว้ที่แฟลตราชการในพื้นที่พญาไท โดยมีบุคคลใกล้ชิดกับหมอแอร์เป็นผู้ดูแล ก่อนส่งต่อไปยังอพาร์ตเมนต์ในพื้นที่วังทองหลาง ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาอีก 2 ราย

ขณะที่ ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า จากนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบการใช้สารควบคุมที่จัดอยู่ในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาททุกประเภท โดยตนได้รับมอบหมายให้เป็นประธานคณะทำงานดังกล่าว

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รายงานว่า พบความผิดปกติในการสั่งซื้อยาในกลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภทที่ 2 ได้แก่ อัลฟาโซแรม (Alprazolam) และ โอลันซาพีน (Olanzapine) ซึ่งเป็นยาที่ใช้ในการบำบัดอาการวิตกกังวล เครียด และโรคซึมเศร้า

จากการตรวจสอบย้อนหลัง พบว่า คลินิกแห่งหนึ่งเริ่มมีพฤติกรรมการสั่งซื้อยาดังกล่าวตั้งแต่ปี 2565 โดยมีการสั่งซื้อรวมหลายรายการ มียอดการซื้อในปีนั้นรวมกว่า 1 ล้านบาท

ต่อมาในปี 2566 จำนวนคลินิกที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้นจาก 5 แห่งเป็น 7 แห่ง โดยมียอดสั่งซื้อรวมกว่า 4 ล้านบาท และในปี 2567 จำนวนคลินิกเพิ่มเป็น 11 แห่ง มียอดสั่งซื้อรวมกว่า 7-8 ล้านบาท ล่าสุดในปี 2568 มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 12 คลินิก

ความผิดปกติที่พบคือ ยอดการสั่งซื้อของคลินิกบางแห่งสูงกว่าของโรงพยาบาลรัฐบางแห่ง และยังพบว่า มีการใช้ชื่อของผู้ป่วยที่เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2567 มาเป็นชื่อในการขอซื้อยาอีกด้วย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่เข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายและเป็นการบิดเบือนข้อมูลทางการแพทย์อย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างแพทย์ผู้สั่งยาและผู้ให้บริการรักษาทางจิตเวช ซึ่งเป็นอีกประเด็นที่อยู่ระหว่างการขยายผลการตรวจสอบในเชิงลึก

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่มีข้าราชการตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าว พล.ต.ท.สำราญ เปิดเผยว่า ในคดีนี้มีผู้ต้องหาหนึ่งรายซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้รับทราบแล้ว และได้มีคำสั่งให้ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งในทางอาญาและทางวินัย โดยจะไม่มีการละเว้นหรือให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ใด ไม่ว่าจะมีตำแหน่งหน้าที่เพียงใดก็ตาม

ด้าน ดร.ธนกฤต ตอบคำถามเพิ่มเติมกรณีการสวมชื่อผู้เสียชีวิตในการสั่งซื้อยา โดยระบุว่า จากการตรวจสอบฐานข้อมูลผู้ป่วย พบว่ามีการนำชื่อของบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว ตั้งแต่ปี 2547 ถึง 2567 มาใช้ในการขอรับยาจากระบบ ซึ่งถือเป็นการปลอมแปลงข้อมูลทางการแพทย์ และเข้าข่ายกระทำผิดร้ายแรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการขยายผลเพื่อพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรในคลินิกใดบ้าง

เมื่อถูกถามต่อถึงแนวทางในการตรวจสอบเพิ่มเติม ดร.ธนกฤต กล่าวย้ำว่า แน่นอนครับ การสอบสวนยังไม่สิ้นสุด ขณะนี้มีรายชื่อคลินิกอีกหลายแห่งที่เข้าข่ายพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งกระทรวงฯ กำลังประสานการทำงานร่วมกับสำนักงาน อย. และเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการในเชิงรุก พร้อมตรวจสอบระบบฐานข้อมูลใบสั่งยาทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...