รัฐบาลจีน เรียกประชุมค่ายรถ EV เตือนให้หยุดสงครามทุบราคา
สงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าจีน ที่แต่ละค่ายหั่นราคาขายรถลงแทบจะรายวันแบบลดกระหน่ำ 20-30% เพื่อกวาดลูกค้าให้เข้ามาซื้อรถของค่ายตัวเอง กำลังบั่นทอนอุตสาหกรรมรถยนต์ของจีนให้กลายเป็นของถูก คุณภาพห่วย จนเกิดวลีล้อเลียนรถจีนว่า “ซื้อก่อนประหยัดก่อน แต่ซื้อหลังประหยัดกว่า” หรือ “ไฟแนนซ์ผ่านง่าย เสี่ยงตายกับประกันไม่รับเคลม” ซึ่งปัญหาสงครามทุบราคานี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในประเทศจีน โดยผู้ที่ก่อสงครามคือ BYD ค่ายรถยักษ์ใหญ่ที่สุดของจีนทั้งในแง่ปริมาณการผลิตและยอดจำหน่าย ที่ประกาศลดราคารถบางรุ่นสูงถึง 34% เหลือเพียงคันละไม่ถึง 2.5 แสนบาทเท่านั้น ส่งผลทำให้หลายค่ายต้องประกาศลดราคารถยนต์ของตัวเองลงเช่นกัน จนนำไปสู่ภาวะกำไรน้อย ไม่ก็เข้าเนื้อจนตัวเจ็บไปถ้วนหน้า
รัฐบาลจีนเกรงว่าถ้าปล่อยให้เล่นสงครามราคาแบบนี้ต่อไป มีแต่จะทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์จีนพังพินาศลงในสักวัน และกระทบต่อความเชื่อมั่นและคุณภาพของสินค้าจีนในสายตาชาวโลกที่เดิมทีก็มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว ให้เลวร้ายลงไปอีก จึงได้มีการเรียกผู้บริหารค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของจีนไปประชุมที่กรุงปักกิ่งด่วน ซึ่งเจ้าภาพการประชุมคือกระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ หน่วยงานกำกับดูแลตลาด และสำนักงานวางแผนเศรษฐกิจสูงสุดของประเทศ
สำหรับผู้บริหารระดับสูงจากผู้ผลิตรถยนต์มีจำนวนมากกว่าสิบรายที่ถูกเรียกตัวให้เข้าประชุม รวมถึง Zhejiang Geely Holding Group และ Xiaomi ด้วย
ทางการของจีนได้เตือนให้ผู้ผลิตรถยนต์ควบคุมตนเองและหลีกเลี่ยงการขายรถยนต์ต่ํากว่าต้นทุน หรือเสนอส่วนลดมากเกินไป เพราะการกระทำดังกล่าวจะนําไปสู่การแข่งขันที่ไม่ยั่งยืน ส่งผลต่อความตึงเครียดทางการเงินทั่วทั้งห่วงโซ่อุปทาน และการล้มละลายที่อาจเกิดขึ้นของบริษัทที่อ่อนแอกว่า ซึ่งทำให้การแข่งขันการพัฒนาในอุตสาหกรรมหยุดชะงัก
นอกจากนี้ยังได้หารือถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น รถ “ศูนย์กิโลเมตร” (รถยนต์ที่ได้มีการจดทะเบียนและขายไปแล้ว แต่แทบไม่มีการใช้งานจริง มีเลขไมล์ใกล้เคียงกับศูนย์) และปัญหาค่าใช้จ่ายที่ค้างชำระให้กับซัพพลายเออร์ ซึ่งกำลังบีบกระแสเงินสดในห่วงโซ่อุปทาน
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของจีน เพราะหน่วยงานกำกับดูแลด้านตลาด อุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศต้องออกโรงเรียกให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยพร้อมกันรวมทั้งภาคเอกชนอย่างค่ายรถที่เป็นต้นตอของปัญหา สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลจีนกำลังให้ความสำคัญกับภาคส่วนนี้อย่างยิ่ง เพราะการเล่นสงครามราคาอย่างรุนแรงคือการทำลายความยั่งยืนของอุตสาหกรรม และอาจทำให้บริษัทรถยนต์อีกจำนวนไม่น้อยต้องล้มละลาย เหมือนกับหลายค่ายที่ทะยอยปิดกิจการไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นก็เกิดกับผู้บริโภคที่ต้องมารับกรรมจากการซื้อรถแล้ว
นับตั้งแต่ที่สงครามทุบราคาก่อตัวขึ้นรอบล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมจากการที่ BYD ประกาศลดราคารถยนต์บางรุ่นลงสูงสุดถึง 34% ส่งผลทำให้หุ้นของผู้ผลิตรถยนต์จีนร่วงลงทั่วกระดานในวันศุกร์ โดยหุ้นของ BYD ร่วงลงมากถึง 2.7% ขณะที่ Xiaomi ลดลง 2.4% ส่วน Geely Automobile Holdings ที่จดทะเบียนในฮ่องกง ลดลง 1.7% นำไปสู่เสียงวิจารณ์จากสมาคมอุตสาหกรรมและสื่อของรัฐ และนักลงทุนเริ่มขาดความมั่นใจต่อบริษัทและอุตสาหกรรมยานยนต์จีน
สมาคมผู้ผลิตรถยนต์จีนกล่าวว่า การดําเนินการโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่งได้สร้าง "ความตื่นตระหนกของสงครามราคา" รอบใหม่ ทําให้อุตสาหกรรมเข้าสู่ "วงจรอุบาทว์" และเป็นอันตรายต่อห่วงโซ่อุปทาน สงครามราคาที่ไร้การควบคุมจะทําให้การแข่งขันที่ดุเดือดอยู่แล้วทวีความรุนแรงขึ้น การบีบให้อัตราผลกําไรของบริษัทได้น้อยลงไปอีก
สื่อของรัฐบาลจีน รวมถึงสำหนักข่าวซินหัว และ The People's Daily หนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ได้เผยแพร่รายงานที่เรียกร้องให้ยุติการสงครามลดราคาอย่างบ้าคลั่ง โดยขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ให้ความสําคัญกับคุณภาพและความมั่นคงของอุตสาหกรรม เพราะกลยุทธ์ดังกล่าวอาจนําไปสู่ผลผลิตที่มีคุณภาพต่ําและทําให้ภาพลักษณ์ระหว่างประเทศของผลิตภัณฑ์ของจีนเสื่อมเสียชื่อเสียง
จากข้อมูลของที่ปรึกษาด้านบัญชี GMT Research หนี้สุทธิที่แท้จริงของ BYD อาจสูงถึง 3.23 แสนล้านหยวน ซึ่งสูงกว่า 2.77 หมื่นล้านหยวนที่ระบุไว้ในการเปิดเผยงบการเงินกลางปี 2024 อย่างมีนัยสําคัญ บริษัทกล่าวว่าช่องว่างอาจเกิดจากการปฏิบัติของ BYD ในความล่าช้าในการชําระเงินของซัพพลายเออร์และกลยุทธ์การจัดหาเงินทุนที่ยุ่งยาก
ด้านโฆษกจาก Geely อ้างถึงคําพูดล่าสุดของประธาน Li Shufu ซึ่งเขากล่าวว่าบริษัท "ต่อต้านสงครามราคา" นอกจากนี้ ในการแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี กระทรวงพาณิชย์ย้ําว่าจะยังคงทํางานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงการกํากับดูแลอุตสาหกรรมยานยนต์และสร้างสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันที่เป็นธรรม