โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

พณ. เผยไทยนำเข้าพลังงาน จากตะวันออกกลาง 52.6% จับตาหลังมิ.ย. เสี่ยงขยับแรง

MATICHON ONLINE

อัพเดต 23 มิ.ย. เวลา 13.07 น. • เผยแพร่ 23 มิ.ย. เวลา 13.07 น.

พณ.เผยไทยพึ่งพานำเข้ากลุ่มพลังงานจากตะวันออกกลาง 52.6% และมีนำ้หนักต่อเงินเฟ้อ 9.57% จับตาหลังมิ.ย.เสี่ยงขยับแรง

เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการ “Rising Lion” เมื่อ 13 มิ.ย. 68 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อลดทอนศักยภาพทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านอย่างต่อเนื่อง ส่วนอิหร่านก็ยังคงตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนเข้าไปในดินแดนอิสราเอล

ล่าสุดสถานการณ์ความขัดแย้ง มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นมาก หลังจากเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 68 สหรัฐฯ ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศต่อฐานนิวเคลียร์สำคัญของอิหร่าน 3 แห่ง ในเมืองฟอร์โดว์ นาทานซ์ และอิสฟาฮาน ขณะที่อิหร่านประกาศพร้อมตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง และยังคงยืนกรานว่าจะไม่ยุติโครงการพัฒนานิวเคลียร์ ในขณะเดียวกันรัฐสภาอิหร่านก็ได้ลงมติสนับสนุนให้ปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ แม้ว่ามติดังกล่าวยังต้องได้รับการอนุมัติจากสภาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติและผู้นำสูงสุดอิหร่านก่อนที่จะดำเนินการ แต่สัญญาณความตึงเครียดดังกล่าวทำให้ช่องแคบที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์นี้กลายเป็นจุดที่ทั่วโลกจับตาอย่างใกล้ชิด

ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยข้อมูลจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ระบุว่า ช่องแคบฮอร์มุซตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างอ่าวเปอร์เซียกับทะเลอาหรับ ในปี 2567 ช่องแคบนี้ถูกใช้เป็นช่องทางขนส่งน้ำมันเฉลี่ย 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 25% ของการค้าน้ำมันทางทะเลทั่วโลก หรือคิดเป็น 20% ของการบริโภคปิโตรเลียมเหลวทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางเดินเรือเพื่อส่งออกสินค้าสำคัญของประเทศที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง ทั้งซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน กาตาร์ บาห์เรน และคูเวต สะท้อนให้เห็นว่าช่องทางดังกล่าวเป็นเส้นทางน้ำที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางกับตลาดสำคัญทั่วโลก

โดยเฉพาะตลาดเอเชียที่ EIA ประเมินว่า ในปี 2567 มีน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ถึง 84% ที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมุ่งหน้าสู่ตลาดเอเชีย ดังนั้น หากอิหร่านตัดสินใจขัดขวางการขนส่งบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ อาจนำไปสู่การหยุดชะงักของการขนส่งน้ำมัน เนื่องจากเรือบรรทุกน้ำมันต้องหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เช่น การอ้อมผ่านทวีปแอฟริกา ซึ่งจะผลักดันให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น และกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง

สถานการณ์ความไม่แน่นอนดังกล่าวได้สร้างความเสี่ยงให้กับตลาดพลังงานโลก สะท้อนจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ผันผวนและปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 5 เดือน หลังสหรัฐฯ โจมตีอิหร่าน โดยนับตั้งแต่หลังการโจมตีของอิสราเอลในวันที่ 13 มิ.ย. จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 13% ในขณะที่ Goldman Sachs ประเมินความเสี่ยงจากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ว่า หากการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซลดลงครึ่งหนึ่งเป็นเวลา 1 เดือน และยังคงลดลง 10% ต่อเนื่องไปอีก 11 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจพุ่งขึ้นในระยะสั้นแตะระดับสูงสุดที่ 110 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากนั้นราคาจะปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันเบรนท์จะอยู่ที่ประมาณ 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

ในอีกกรณีหนึ่ง หากอุปทานน้ำมันดิบของอิหร่านลดลง 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นเวลา 6 เดือน อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งสูงสุดที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดลงมาเหลือ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลภายในปี 2569 ทั้งนี้ Goldman Sachs มองว่าความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซในปี 2568 อยู่ที่ 52%

แนวโน้มสถานการณ์ที่รุนแรงในภูมิภาคตะวันออกกลาง ยังส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ จากค่าขนส่งและค่าเบี้ยประกันภัยการขนส่งทางทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราค่าระวางเรือทั่วโลก หากสถานการณ์รุนแรงขึ้นต่อเนื่องอาจนำมาสู่การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง

ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจาก Marsh McLennan บริษัทประกันภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก ระบุเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ได้ปรับราคาค่าธรรมเนียมสำหรับเรือที่ต้องการเดินทางผ่านอ่าวเปอร์เซียขึ้นจากราคาปกติ 0.125% เป็น 0.2% หลังอิสราเอลโจมตีอิหร่าน ซึ่งการปิดช่องแคบฮอร์มุซดังกล่าว ส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมากต่อไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ แม้ว่าไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก

ในปี 2567 ไทยนำเข้าพลังงาน (น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันสำเร็จรูป) มูลค่า 45,902.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการนำเข้าจากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางมูลค่า 24,139.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนกว่า 52.6% ของการนำเข้าสินค้ากลุ่มดังกล่าวทั้งหมดของไทย

แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต และโอมาน โดยนำเข้าจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย และกาตาร์เป็นหลัก

“หากช่องแคบฮอร์มุซถูกปิด อุปทานน้ำมันดิบกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศจะได้รับผลกระทบ และหากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจนำมาสู่การเผชิญราคาน้ำมันและค่าพลังงานที่พุ่งสูง ซึ่งมีผลโดยตรงทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงมีสัดส่วนน้ำหนักถึง 9.57% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ “

นอกจากนี้ การปิดกั้นช่องทางขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบแห่งนี้ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางค่อนข้างมาก เนื่องจากส่วนใหญ่สินค้าไทยจะขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซไปยังท่าเรือ Jebel Ali ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าไปยังตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ในด้านการส่งออกของไทยบางสินค้าอาจได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เช่น สินค้าส่งออกที่เกี่ยวกับน้ำมัน ได้แก่ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซปิโตรเลียมเหลว

ความขัดแย้งในตะวันออกกลางในปัจจุบันมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงแรก โดยความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะดำเนินการขัดขวางการขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซมีสูงกว่าช่วงสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์และการต่อสู้กับกลุ่มพันธมิตรที่เริ่มตั้งแต่ปี 2566 เนื่องจากปัจจุบันเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ประกอบกับการที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการกดดัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทางอ้อมผ่านการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันหรือต้นทุนการขนส่ง เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ทะเลแดงเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ดังนั้น ทุกฝ่ายจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ กระทรวงพาณิชย์จะประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป” นายพูนพงษ์ กล่าว

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พณ. เผยไทยนำเข้าพลังงาน จากตะวันออกกลาง 52.6% จับตาหลังมิ.ย. เสี่ยงขยับแรง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...