โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

‘กอบศักดิ์’ ชี้ ‘ทรัมป์’ กระหน่ำขึ้นภาษีต่างชาติ จุดเริ่มต้นสงครามการค้าศตวรรษที่ 21 ตลาดเงินตลาดทุนปั่นป่วน แนะ 5 ทางออกไทย ต้องเรียนรู้ ไม่ได้อยู่ในฐานะจำยอม แต่ต้องเจรจา

BTimes

อัพเดต 09 เม.ย. เวลา 11.14 น. • เผยแพร่ 09 เม.ย. เวลา 03.36 น. • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Biz

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวในรายการ "Bnomics by Bangkok Bank" ภายใต้หัวข้อ "After Shock Reciprocal Tariffs" ว่า จากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.เป็นมา กลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามการค้าโลกในศตวรรษที่ 21 สงผลให้ตลาดการเงินตลาดทุนของโลกปั่นป่วน ดัชนีดาวน์โจนส์ปรับตัวลดลงอย่างมากแค่วันเดียว 1,500 จุดและตลาด Nasdaq เข้าสู่ตลาดหมี (Bear Market)

ทั้งนี้ การเก็บภาษีของสหรัฐรอบนี้มี 3 ระดับ โดยระดับประเทศได้ประกาศไปเมื่อ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา ระดับอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มเหล็ก เป็นต้น และระดับบริษัท ซึ่งจะทำต่อไป ส่วนไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 36%

สำหรับทางรอดของไทย สิ่งที่ต้องเตรียมการกับผลกระทบจาก Reciprocal Tariffs รับมือสินค้าจีนจะทะลักเข้ามา ขณะที่เทคโนโลยีจะต้องพัฒนาเร็วขึ้นมาก การแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้นจากผู้เล่นใหม่ในภูมิภาค รวมถึงการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจที่จะรุนแรงขึ้นทั้งเรื่องการค้าและเรื่องอื่นๆด้วย

นายกอบศักดิ์ ระบุว่า ผลกระทบกับไทย 5 ช่องทางได้แก่ การค้า การท่องเที่ยว เงินลงทุน ความผันผวนของสินทรัพย์ และความเชื่อมั่น เริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนมากขึ้น โดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ที่เคยจะลงทุนในไทยก็อาจจะทบทวน

ฉะนั้น ทางออกของไทย เราต้องเตรียมการ 5 ด้าน

1. เริ่มต้นด้วยการเจรจากับสหรัฐ เนื่องจากเศรษฐกิจเผชิญลมต้าน (Head Wind) ค่อนข้างเยอะ หากเจรจาช้า ไทยจะสูญเสียโอกาส เพราะปัจจุบันมี 70 ประเทศที่รอเจรจาอยู่

2. ระหว่างเจรจารัฐบาลต้องหาวิธีรักษา Momentum เศรษฐกิจอย่างไร

3. การเตรียมรับมือกับสินค้าจีนที่เข้ามาไทยอย่างไร

4. สงครามการค้าที่สหรัฐและจีนเขื่อว่าเป็นมหากาพย์แน่นอน ดังนั้นไทยควรจะลดการพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐที่ปัจจุบันอยู่ที่ 18% หรืออย่างน้อยลดสัดส่วนให้เหลือ 10% หันมาดูตลาดในแถบเอเชียแทน อาทิ ตะวันออกกลาง อินเดีย อาเซียน แอฟริกา หรือตลาดอื่น

5. ไทยควรวางตำแหน่ง (position) ตนเองการอยู่ท่ามกลางระหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างไร เพราะสุดท้ายเขาก็จะบังคับให้เราเลือกข้าง

"เราต้องเรียนรู้ เราไม่ได้อยู่ในฐานะจำยอม เพราะภาษี 36% มันเยอะเกินไป และเราก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ เพราะไทยเป็นประเทศเล็กเกินไป ดังนั้น เราต้องเจรจา เพราะตอนนี้มี 70 ประเทศรอกำลังเจรจาอยู่ หากเราเจรจาช้า หากจะเสียโอกาส เช่น เวียดนามที่เจรจา หากภาษีเขาลดลงมาเหลือ 0-10% เขาจะได้เปรียบเราทันที และในระยะกลางและยาว เราจะต้องไม่พึ่งพาเขา เพราะเราจะเป็นเบี้ยเขา เราต้องไปตลาดอื่นหรือค้าขายกับคนอื่น"

นายกอบศักดิ์ ยังกล่าวว่า ไม่ต้องสนใจกับตัวเลขอัตราภาษี 36% ที่สหรัฐประกาศจะเก็บจากไทย แต่ให้สนใจเนื้อหา สิ่งที่จะเจรจาต้องพิจารณาถึงว่าจุดไหนที่ไทยได้เปรียบ หรือเอาเปรียบสหรัฐ , สิ่งที่ไทยจะเป็นประโยชน์กับเขามีอะไรบ้าง, สิ่งที่เราจะซื้อจากเขาได้

ย้ำว่าเรายอมเขาก็ไม่ได้ ตอบโต้เขาก็ไม่ได้ ทางรอดของไทยคือการเจรจาด้วยความตั้งใจอย่างจริงจัง เพราะเป้าหมายของสหรัฐคือต้องการให้ไทยเปิดตลาด ได้แก่ กลุ่มยานยนต์ มอเตอร์ไซด์ ,เนื้อหมู, เนื้อไก่, ไวน์, เบียร์ , เหล้า , เสื้อผ้า ,ยา, เครื่องใช้ต่างๆ

"ทั้งหมดนี้ สิ่งที่เขาอยากเจรจาซึ่งมีลิสต์อยู่แล้วอยากได้อะไร แล้วเราก็ไปที่ลิสต์เหล่านี้ ลองดูว่าเราให้อะไรให้เขาได้บ้าง อยากให้คิดอย่างนี้ว่ามีอีกหลายประเทศที่กล้าที่จะให้ ถ้าเกิดเราไม่ให้หรือลังเลใจ ถ้าเกิดเขาได้ แล้วเราจะทำยังไง … ถ้าวันหนึ่งเวียดนาม เหลือ 10% แต่เราอยู่ที่ 36% เราก็จะมีปัญหาในทางแข่งขันทันที"นายกอบศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ปัจจัยภายนอกสิ่งที่กังวลและน่าห่วง คือ สหรัฐและจีนทะเลาะกันเป็นประเด็นความขัดแย้งที่น่ากังวลใจ และอาจขยายมิติและลุกลามไปจุดอื่นได้ เช่น สงครามทางการทหาร เป็นต้น และปัจจัยภายในประเทศ จะเห็นว่าไทยยังมีความเปราะบาง ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ภายใต้โลกที่ปั่นป่วนจะเป็นปัจจัยซ้ำเติม

แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังไม่เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แม้ธนาคารกรุงเทพได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 68 จากเดิมต้นปีคาดไว้ที่ 3% ปรับลงมาอยู่ในกรอบ 2.5-3% แต่หลังจากสหรัฐประกาศขึ้นภาษีเกินกว่าคาด และมีสถานการณ์แผ่นดินไหวกระทบกับการท่องเที่ยว จึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ราว 2.5% บวกลบ แต่มีทิศทางจะขยายตัวต่ำกว่านั้น

ขณะที่ภาคการลงทุนของไทย ภายใต้มรสุมมีพายุพัด เปรียบเหมือนคนที่เล่นสกี-เรือใบถ้าไม่เชี่ยวชาญอาจเสียชีวิตได้ จะเห็นว่าในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเกิดความผันผวนมากมายจากลมปาก และความเชื่อมั่นที่หายไป ซึ่งไม่ได้สะท้อนปัจจัยพื้นฐานเลย ดังนั้น จำเป็นต้องหาสินทรัพย์ที่มั่นคงมากขึ้น และหากไม่พร้อมควรออกจากตลาด และการลงทุนอาจจะต้องใช้เงินเย็นมากกว่าเงินร้อน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...