ชวนเปลี่ยนมายด์เซ็ต 'แดร็ก=วัฒนธรรม' ทึ่ง นทท.จ่ายยับ! บินมาดูโชว์ ชงรัฐให้ค่าเป็น 'อาร์ติสต์'
ชวนเปลี่ยนมายด์เซ็ต ‘แดร็ก=วัฒนธรรม’ ทึ่ง นทท.จ่ายยับ! บินมาดูโชว์ ชงรัฐให้ค่าเป็น ‘อาร์ติสต์’
ภาคธุรกิจ ชวนเปลี่ยนมายด์เซ็ต ‘แดร็ก’ = วัฒนธรรม เปิดตัวเลข นทท.LGBTQ+ จ่ายยับ! บินมาดู แนะมัดรวมนางโชว์เป็น ‘อาร์ติสต์’ ต้องเริ่มต้นที่บัตรประชาชน
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ที่ลาน Tango ชั้น 1 ศูนย์การค้า Siam Center เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร บางกอกไพรด์ (Bangkok Pride) และ สยาม เซ็นเตอร์ พร้อมด้วยพันธมิตรและเครือข่าย ร่วมแถลงข่าว DRAG BANGKOK 2024 : The Power of Thai DRAG CULTURECULTURE เพื่อแสดงจุดยืนกลุ่มศิลปิน Drag ผู้ประกอบการ และเครือข่าย LGBTQIA+ ในไทย ผลักดัน Thai Drag Culture ศิลปะแขนงนี้ให้เป็นหนึ่งใน ซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power)
บรรยากาศเวลา 16.50 น. มีวงเสวนาภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมบันเทิง โดยตัวแทนผู้ประกอบการ ได้แก่ อัษฎายุทธ คุณวิเศษพงษ์ หรือ Natalia Pliacam) แชมป์ Drag Race Thailand คนแรก, ศิรวิชญ์ กมลวรวุฒิ หรือ ไจ๋ ซีร่า แดร็กควีนชื่อดัง เจ้าของแบรนด์วิกทอมืออ ‘SiraWigs’,
ไบรอัน ตัน อินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของเวที Miss Fabulous, จักกาย เจิมขวัญ หรือ M Stranger Fox ผู้บริหาร THE STRANGER BAR แดร็กปาร์ตี้แห่งแรกของไทย และสรพล ชวพัฒนากุล หรือ ไปป์ ดีไซเนอร์ เจ้าของแบรนด์ SORAPOL London ในนามของตัวแทน MeStyle Museum Hotel หนึ่งในโรงแรมที่ให้การสนับสนุน LGBTQ community
ดำเนินรายการโดย ภัทร เลิศสุกิตติพงศา หรือ พัช ผู้ก่อตั้งเพจ Yellow Channel เบื้องหลังขับเคลื่อน Thai Drag CommunityCommunity และ อารยา อินทรา หรือ อาร์ต สไตลิสต์และดีไซเนอร์ชื่อดัง
เมื่อถามว่า ปัญหาการเติบโตของแดร็กไทยในไทย มีอะไรบ้าง ?
อัษฎายุทธ หรือ นาตาเลีย กล่าวว่า ตนอาจจะโชคดีที่ทำงานสื่อ (อีจัน) จึงเปิดกว้างเพราะได้เข้าไปเติมเต็มในสิ่งที่เขาไม่มี ตนอยากให้มองอีกบทบาท ตอนที่เราไม่ได้แต่งแดร็ก ก็มีประสิทธิภาพ และวิธีคิดในการใช้ชีวิตเหมือนกัน ดังนั้นเราควรจะให้ความสำคัญไม่ว่าจะอยู่ในบริบทไหน
“เราแต่งแดร็กน้อยมาก เราเป็นสายปฏิวัติ ต้องการขบถ ต้องการจะบอกว่าไม่ว่าจะแต่งแดร็กหรือไม่ ก็สามารถทำงานได้เหมือนกัน และมีวิธีคิดในการดำเนินชีวิตสร้าง opportunity ให้กับชีวิตได้เหมือนกัน หลายครั้งจะเจอการเอาแดร็กควีน ไปสร้างเพียงความบันเทิง แต่มันไม่ควรจะเป็นชั่วคราวชั่วคราว เพราะความเป็นแดร็กถูกฝังรากหลายลึกจนกลายเป็นวัฒนธรรม ได้แล้ว เราก็ได้แค่ยิ้มรับ เพราะการไปต่อล้อต่อเถียงในบางบริบทที่คนไม่เข้าใจ อาจจะทำให้เรารู้สึกไม่มีค่า เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา เราเคยผ่านคำว่า ‘นางโชว์’ มาก่อน ทั้งที่ฝังอยู่ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ผู้ชายแต่งหญิงเล่นละครในวัง แต่ถูกพูดในแต่ละทศวรรษไม่เหมือนกันแปรเปลี่ยนกันไป” อัษฎายุทธชี้
อัษฎายุทธกล่าวต่อว่า สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นจริงๆ คือ ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร อยากให้คอมมูนิตี้เป็นจริงเป็นจัง มองคุณค่าเราจากเนื้องาน และความสามารถ ไม่ได้มองแค่ว่าแต่งหน้าแล้วเป็นคนเก่ง บางงานเริ่มจากการคิด บางคน เวลาไม่แต่ง เขาคือผู้ประกอบการคนนึง เราจะเห็นบทบาทนี้ ดังนั้น เราควรมองแดร็ก ด้วยความหลากหลาย เพราะเท่ากับความเป็นมนุษย์
“ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.คู่ชีวิต หรืออื่นๆ เราควรเริ่มต้นในฐานะที่เรามีบัตรประชาชนที่ ออกโดยรัฐบาลไทย ไม่ควรถูกจำกัดเพียงเพราะมีรสนิยมบางอย่าง ดังนั้น ใช้เวลาต่อสู้อยู่กับมัน สร้างความเข้าใจใหม่ๆ”
“แดร็ก เป็นศัพท์ปัจจุบัน ไม่อยากให้กีดกันคนที่เป็นนางโชว์ หรือสาวประเภทสอง ออกจาคอมมูนิตี้ อยากให้รวมทุกคนที่มีความสามารถด้าน เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ให้เป็นอาร์ติสต์” อัษฎายุทธ หรือ นาตาเลีย กล่าว
เมื่อถามว่า จากประสบการณ์ มองว่าบ้านเรา คอมมูนิตี้แดร็กมีโอกาสเติบโตหรือไม่ แล้วควรปรับทิศทางอย่างไร ?
ด้าน ศีรวิชญ์ หรือ ไจ๋ กล่าวว่า แดร็กของเราสามารถสร้างโอกาสได้ดวยตัวเอง ซึ่งเราทำมาตลอด มองย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว เราปูทางไว้ให้แล้ว บอกได้เลยว่าเมืองไทย อาชีพนี้มีเพดานของมัน มันไปสุดแค่นี้ เพราะถ้าผู้ประกอบการบางท่าน มองว่าเป็นกลุ่มเต้นกินรำกิน ไม่ได้มองว่าแดร็กเป็นอาชีพ ที่ผ่านกระบวนสร้างสรรค์
“เราเห็นเค้าลางๆ แล้วว่า แย่ จากที่ทำงาน และคุยกับลูกค้า เขาไม่ได้ให้คุณค่ากับงานเราขนาดนั้น แต่ช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าเริ่มมองงานเราในมุมสร้างสรรค์ เราสร้างโอกาสมาเรื่อยๆ น้องๆ รุ่นใหม่ก็พยายามสร้างมาเสมอ เราบอกตลอด ‘ทำให้ทุกผลงานเป็นมาสเตอร์พีซให้ได้’ แล้วคนจะมองเห็นเอง เราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ก้าวข้ามคนมองว่าเป็นตัวตลก เราสามารถทำอะไรได้มากว่านั้น ดึงจุดที่เราทำได้ดีออกมา ทำให้เราประกอบอาชีพในสายนั้นๆ ได้จนประสบความสำเร็จ” ไจ๋ ศีรวิชญ์ กล่าว
ศีรวิชญ์ กล่าวต่อว่า พูดได้เลยว่า เหมือนมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ ในอนาคตอาจจะดีกว่า เมื่อ 10-20 ปีที่แล้วที่เคยผ่านมา เห็นน้องๆ รุ่นนี้ทุกคนเก่งมาก เก่งแบบก้าวกระโดด
“ทำให้มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง ที่เคยบอกว่า ‘อย่าเลียนแบบพี่’ อย่าเอาเป็นตัวอย่าง แต่ให้เอาการทำงานไปเป็นตัวอย่าง เพราะถ้าเลียนแบบเราจะหาแนวทางของตัวเองไม่เจอ มันเป็นภาพสะท้อนกลับมาที่ตัวเองว่า แย่ละ เด็กสมัยนี้ปังมาก เราก็ต้องไม่หยุดพัฒนาตัวเอง” ศีรวิชญ์เผย
เมื่อถามว่าเราควรจะให้สื่อ หรือผู้ประกอบการสนับสนุนอย่างไร ?
ด้าน ไบรอันกล่าวว่า จริงๆ แล้วตอนนี้สังคมเริ่มสนใจแดร็กมากขึ้น อย่างที่ตนเคยไปเสนอโปรเจ็กต์กับ ททท. ฝั่งอเมริกาสนใจศิลปินแดร็กมากๆ จึงอยากดึง นักท่องเที่ยวฝั่งอเมริกา มาไทย แต่วัฒนธรรมแดร็กในไทยยังไม่รู้จักกว้างขนาดนั้น ขึ้นอยู่กับการเสพสื่อด้วย
“ตอนแรก ผมไม่ได้เป็นบิ๊กแฟนแดร็กโชว์ แต่มีความสุขกับการดูโชว์ทุกประเภท บางโชว์ คนเดียวเอาอยู่ ผมคิดว่า ต่อไปในอนาคตพัฒนาไปได้ ในฐานะสื่อเองเราอยากให้โอกาสแดร็ก เช่น เลือกมาเป็นศิลปิน ร้องเพลง ผมว่าไปได้อีก ถ้ามีความสามารถหลากหลาย” ไบรอันกล่าว
ไบรอันกล่าวต่อว่า ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนท์ที่ทำ นางงาม ซึ่งจะมีแพทเทิร์น แต่ตนจะฉีกกรอบทุกอย่าง เพื่อเปิดโอกาส ตอนที่วางแนวในซีซั่น 1 วางไว้ ทรานส์เจนเดอ์ร์ มีรูปลักษณ์เป็นผู้หญิง มีเกย์ที่แต่งหญิงมาประกวด ปีที่สองวางแนว แดร็กเดรส ทำให้คอมมูนิตี้ของเราใกล้กันมากขึ้น เราต้องทำความเข้าใจคำว่าแดร็กมากขึ้น
“แดรกมีหลายแบบ แดร็กควีน แดร็กคิง ผมเคยโดนบ่อย แต่งขนาดนี้จะพูดครับทำไม ผมแค่เป็นตัวเอง พูดครับมาตั้งแต่เกิด มันแค่นั้นเลย เป็นธรรมชาติของตัวเราเองตั้งแต่เกิด” ไบรอันกล่าว
ขณะที่ จักกาย หรือ M Stranger Fox กล่าวว่า แดรกควีนส่วนมาก หากินด้วยการแสดงในบาร์ การสนับสนุนโดยรัฐบาลยังไม่มีเลย ทำให้ศิลปินต้องทำงานที่บาร์เท่านั้น เหมือนหัวชนเพดาน ไทยเป็นประเทศที่มีโอกาส แต่ไม่ได้รับโอกาส หวังผู้ใหญ่ช่วยผลักดัน ใส่แดร็กควีนลงไปในอาเจนด้า
มีวิธีสร้างโอกาสให้ตัวเองอย่างไรบ้าง ที่ผ่านมาแก้ปัญหาอย่างไร ?
จักกาย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาต้องแก้ด้วยตัวเองจริงๆ เพราะไม่มีการสนับสนุน ยังโชคดีที่สังคมแดร็กของเรายังแน่นแฟ้น มีรายการแดร็ก เรส ไทยแลนด์ มาช่วยกระตุ้น ทำให้แดร็กยังอยู่ได้ ถ้ามีการสนับสนุนเชื่อว่าไปได้ไกล และสร้างเม็ดเงินให้ประเทศได้เยอะด้วย เพราะลูกค้าส่วนมาก ต่างชาติ 70 % คนไทย 30%
เมื่อถามว่า มองเห็นจุดเด่นอะไรในเมืองไทย ที่น่าจะไปได้ไกล?
สรพล หรือ ไปป์ ตัวแทน MeStyle Museum Hotel กล่าวว่า หากเปรียบเทียบประสบการณ์ที่อยู่เมืองนอกและทำงานกับแดร็กหลายคน ศักยภาพของคนไทยเยอะมาก แต่ปัญหาคือมายด์เซ็ตคนไทย ที่มองว่ากลุ่มอาชีพเหล่านี้เต้นกินรำกิน ใช้สกิลแรงงาน มากกว่างานประเภทหมอ ทำให้สแตนดาร์ดโดนดูถูกกันเอง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ เพราะ stereotypes ถูกฝังไว้แล้ว เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ดังนั้น เราอาจจะต้องเปลี่ยนมายด์เซ็ตตรงนี้เป็นอย่างแรก สอนลูกสอนหลานว่าวัฒนธรรมเหล่านี้มีค่า สร้างเงินให้ประเทศได้ เพราะช่างศิลป์เหล่านี้
“ในฐานะ ตัวแทนผู้ประกอบการโรงแรม สรุปปีที่แล้วเรามีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยทั้งหมด 37 ล้านคน เฉลี่ย 1 คนจ่าย 10,000 บาท หรือ 2,000 ล้านบาท มีรีเสิร์ชว่ากลุ่ม lgbtq มีสเปนดิ้งมากกว่า 50,000 บาท/คน มองได้เลยว่ากลุ่มเราจะสเปนดิ้งขนาดไหน ดังนั้น เราต้องเซิร์ฟนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เพราะจ่ายมาก ในมุมผู้ประกอบการ ขอฝากไว้อีกอย่างว่าสิ่งที่คุณเอาออกมารณรงค์ มันคือเครื่องมือในการที่คุณเอามาใช้หาตังค์ หรือไม่” สรพล กล่าว