ญี่ปุ่น - จีน กับแรงสั่นสะเทือนต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก
ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
เมื่อไม่นานมานี้ทั่วโลกได้ข่าวความตึงเครียดที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างญี่ปุ่นและจีนภายหลังการเข้ารับตำแหน่งใหม่ของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น ซานาเอะ ทาคาอิชิ เรื่องนี้อาจไม่ใช่แค่ข่าวต่างประเทศธรรมดาแต่อาจมีนัยสำคัญหลายมิติ รวมถึงผลกระทบต่อโลกและประเทศไทย วันนี้เรามาวิเคราะห์เรื่องนี้กันครับ
การให้สัมภาษณ์อย่างดุเดือดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน อาจเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองในเอเชียตะวันออกร้อนระอุขึ้น… โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กล่าวว่า หากจีนจะช้ำกำลังกับไต้หวัน นั่นอาจเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของญี่ปุ่น และญี่ปุ่น “อาจจำเป็นต้องตอบสนองทางทหาร”
ถ้อยคำนี้ไม่ต่างอะไรกับการกระตุกหนวดมังกร จีนมองถ้อยคำนี้ว่าเป็นการขู่แทรกแซงเรื่องภายในของจีน ซึ่งเป็นที่ยอมรับไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการเปิดทางให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมสงครามหากเกิดขึ้นในช่องแคบไต้หวัน เป็นการตอกย้ำความระแวงซึ่งกันและกันระหว่างสองชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อข้อพิพาทต่างๆในทะเลจีนใต้ เช่น หมู่เกาะเซนกากุ/เตียวหยู เป็นต้น
เท่าที่ดู กลายเป็นว่า ไต้หวัน น่าจะเป็นชนวนระเบิดสำคัญ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ในมุมมองของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นน่าจะมองว่า หากไต้หวันล้มลง ความเสี่ยงของญี่ปุ่นจะเพิ่มมากขึ้น เพราะไต้หวันไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านสำหรับญี่ปุ่น แต่ยังเป็นเกราะกันชนยุทธศาสตร์ที่สำคัญ หากจีนสามารถควบรวมไต้หวันได้สำเร็จ ญี่ปุ่นอาจต้องเผชิญกับการขยายอิทธิพลทางทหารของจีนเข้ามาใกล้หมู่เกาะริวกิวและแผ่นดินหลักของญี่ปุ่นมากขึ้น จนถึงระดับที่การคมนาคมทางเรือและอากาศของญี่ปุ่นอาจสูญเสียอิสระ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ญี่ปุ่นแสดงออกอย่างแข็งกร้าวในเรื่องไต้หวัน พูดง่ายๆ นายกคนใหม่ก็แค่พูดซ้ำจากคนก่อนๆ และทำให้ชัดขึ้นว่า ญี่ปุ่นจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นต่อไต้หวัน
ซึ่งในมุมของจีน การที่ญี่ปุ่นพูดเช่นนี้เท่ากับว่า ญี่ปุ่นประกาศตัวอยู่ข้างไต้หวันและสหรัฐอย่างเต็มตัว ซึ่งจีนมองว่า นี่อาจเป็นการกำลังจะ “ล้ำเส้น” ที่จีนตีไว้ยาวนาน ซึ่งสำหรับญี่ปุ่น ก็อาจไม่ได้ปฏิเสธในกรณีนี้ เพราะดูจากท่าทีของนายกคนใหม่แล้ว ท่าทางจะเอียงไปข้างสหรัฐอย่างชัดเจน เพราะเริ่มมีการวางแผนซื้ออาวุธจากสหรัฐเพื่อขยายพลังอำนาจทางทหาร จนมองได้ว่า นี่คือการฟื้นลัทธิทหารญี่ปุ่น อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่า ก็จี้ใจดำจีนอย่างแรง เพราะรับไม่ได้กับประวัติศาสตร์ที่ลัทธิทหารญี่ปุ่นเคยย่ำยีจีนไว้
บาดแผลทางประวัติศาสตร์ จึงอาจมองได้ว่า มีผลเป็นชนวนความร้อนในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
ในฟากของสหรัฐ งานนี้ก็ดูไม่ได้หืออืออะไร กับการฟื้นอำนาจทางทหารของญี่ปุ่น ทั้งๆที่นับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา สหรัฐเป็นหนึ่งในผู้ควบคุมสำคัญและไม่ยอมให้เกิดการพัฒนากองทัพของญี่ปุ่น งานนี้จึงมองได้ว่า อาจจะมี “ไฟเขียว” จากฝั่งตะวันตกก็เป็นได้
หากจะวิเคราะห์ผลกระทบต่อโลก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพสะท้อนความร้อนแรงของภูมิรัฐศาสตร์โลกในอนาคต โดยเฉพาะกับตัวละครหลักเช่น สหรัฐ จีน ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมหาอำนาจและผลประโยชน์ที่ไม่อาจลงตัวได้โดยง่ายเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับไต้หวัน ที่ปัจจุบันกลายเป็นกล่องดวงใจของสองยักษ์ใหญ่
ความเสี่ยงในการเกิดสงครามในเอเชียตะวันออก จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่นักวิเคราะห์หวาดกลัว พันธกรณีด้านความมั่นคงระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐ หากสถานการณ์บานปลายต่อไป มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามสามเส้าขึ้น ระหว่าง จีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น (ในฐานะตัวแทนสหรัฐ) และอาจบานปลายต่อไปสู่การดึงเกาหลีใต้และออสเตรเลียเข้าร่วมวง
เอเชียตะวันออกจึงอาจกลายเป็นภูมิภาคที่มีการแข่งขันกันสะสมอาวุธสูงที่สุดในโลก และอาจกลายเป็นพื้นที่แห่งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในปีต่อๆไป
สำหรับประเทศไทย หากเหตุการณ์บานปลายต่อไป ผลกระทบต่อไทยน่าจะไม่น้อยเช่นกัน
เพราะนักลงทุนรายใหญ่ของไทย คือทั้งจีนและญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นคือภาคยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุตสาหกรรม ในขณะที่จีนคือคู่ค้าสำคัญด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล โลจิสติกส์ และการท่องเที่ยว จึงไม่แปลกหากเกิดความขัดแย้งจริงๆ แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลกับเป็นพันๆกิโล แต่งานนี้แรงสั่นสะเทือนน่าจะมาถึง นิคมอุตสาหกรรมอย่าง ระยอม ชลบุรี และท่าเรือแหลมฉบังอย่างแน่นอน
หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่วิเคราะห์วันนี้ จะไม่เกิดขึ้นจริง
เอวัง