แก่ก่อนรวย - ซวยก่อนโต
บทความพิเศษ | ณิชา พิทยาพงศกร
แก่ก่อนรวย – ซวยก่อนโต
คนไม่น้อยรู้ดีว่า สังคมสูงวัยมาพร้อมกับความท้าทายต่างๆ จำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องการการดูแลพึ่งพาสวัสดิการรัฐมากขึ้น ในขณะที่คนวัยแรงงานมีสัดส่วนลดลง แต่ต้องแบกรับภาระดูแลคนอื่นๆ มากขึ้น
“สังคมไทยกำลังกลายเป็นสังคมสูงวัย” “คนไทยกำลังแก่ก่อนรวย”
ฉันเองก็ได้ยินถ้อยคำแนวนี้มาพักใหญ่ ฟังดูเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งนั้น แต่ฉันเพิ่งเห็นและเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลสะเทือนต่อชีวิตเด็กไทยมากมายเพียงใด
จากการลงพื้นที่ในอำเภอห่างไกล ฉันได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 14 เพราะต้องช่วยดูแลพ่อที่เป็นอัมพาต ในขณะที่แม่ของเธอต้องทำงานรายวันเพื่อหาเลี้ยงทั้งเธอ พ่อและตาที่อายุมากแล้ว ทำหน้าที่ป้อนข้าวป้อนยาให้พ่อ ดูแลงานบ้าน พาพ่อซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปที่อนามัยเวลาหมอนัด เมื่ออายุถึงเกณฑ์เข้า สกร.ได้ ก็สมัครเข้าเรียนเพื่อที่จะได้วุฒิการศึกษา เธอมีความฝันอยากเป็นพยาบาล แต่ยังไม่รู้ว่าจะมีเงินก้อนพอจ่ายค่าเทอมและค่ากินอยู่หรือไม่
และยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่พ่อแม่แยกทางกัน เขาอยู่กับปู่ย่าตั้งแต่เล็ก ได้เรียนหนังสือจนจบ ป.6 แต่เพราะครอบครัวสู้ค่าเทอมไม่ไหว จึงให้ไปบวชเรียนในโรงเรียนพระแทน เรียนได้ถึง ม.2 เขาถูกกลั่นแกล้งโดยเพื่อนและพระอาจารย์ จนมีอาการซึมเศร้า ต้องลาออกมาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ควบคู่กับทำงานรับจ้างได้วันละ 300 บาท จนร้านที่จ้างปิดตัวไป เลยรับของมาขายหน้าบ้าน แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำงานแล้ว เพราะย่าประสบอุบัติเหตุ เริ่มมีอาการเลอะเลือน ความจำเสื่อม หน้าที่หลักคือคอยดูแลย่า ควบคู่กับเรียนในระบบ สกร. เพราะเขายังฝันอยากจะเรียนจบมหาวิทยาลัยและมีงานดีๆ ทำ
ยังมีอีกหลายเรื่องราวชีวิตที่คล้ายๆ กันของเยาวชนที่คาบเส้นคาบดอก เข้าๆ ออกๆ จากระบบการศึกษา ใน 20 ครอบครัวที่ได้สัมภาษณ์ มีเพียงครอบครัวเดียวที่เด็กได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ ที่เหลือไม่ขาดคนใดคนหนึ่ง ก็ขาดทั้งสองคน เหตุผลใหญ่ๆ คือ พ่อแม่ต้องไปหางานทำในเมืองใหญ่เพื่อส่งเงินกลับมาเลี้ยงครอบครัว ไม่ก็แยกทางเพราะความรุนแรงในครอบครัว ปู่ย่าตายายจึงรับบทเป็นคนเลี้ยงดูเด็กเรื่อยมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ได้ยินบ่อยครั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ครอบครัวแหว่งกลางในไทย
เรื่องที่น่าสนใจคือ เมื่อเด็กมาถึงวัยมัธยม คนเลี้ยงดูก็เริ่มแก่ชรา ทุพพลภาพ ในขณะที่เด็กเริ่มโตเป็นวัยรุ่น เริ่มหางานทำได้ บทบาทก็สลับกลับทิศชัดเจน เด็กน้อยคนนั้นกลายมาเป็นผู้ดูแลปู่ย่าและหาเลี้ยงครอบครัวเสียแล้ว
ฉันเชื่อว่า นี่ไม่ใช่เรื่องราวของไม่กี่ชีวิต แต่เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยปัจจุบัน ที่เด็กจำนวนมากไม่ได้เป็นเพียงเด็ก ไม่ได้มีบทบาทแค่เล่น เรียนหนังสือและช่วยงานบ้านบ้างในบางเวลา แต่กำลังกลายเป็น “เดอะแบก” ของครอบครัว ทั้งในบทบาทของคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และผู้ดูแลคนป่วยคนชรา
ครอบครัวเป็นหนี้และไร้เงินออม
เร่งเยาวชนเข้าสู่การทำงาน
ด้วยวิกฤตหนี้ครัวเรือนปัจจุบัน คนไทยกำลังก้าวเข้าสู่วัยเกษียณโดยยังแบกภาระหนี้สูง โดยร้อยละ 42.7 ของผู้สูงอายุมีหนี้สินเฉลี่ย 130,505 บาทต่อคน (ธนาคารแห่งประเทศไทย) แถมผู้สูงอายุร้อยละ 44 ก็ไม่มีเงินเก็บเลย หรือที่มีก็ไม่มากพอที่จะอยู่ได้ (สำนักงานสถิติแห่งชาติ) จึงต้องพึ่งพารายได้จากลูกหลาน แต่ถ้ารุ่นลูกเองก็มีหนี้สินมาก มีรายได้จำกัด ภาระก็ไปตกที่รุ่นหลานซึ่งอยู่ในวัยเรียน
รายงานสถานการณ์เด็กและครอบครัว โดยศูนย์ความรู้นโยบายเด็กและครอบครัว (คิด for คิดส์) ปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า เด็กและเยาวชนไทยกว่า 6.2 ล้านคนอยู่ในครอบครัวที่มีหนี้ ในจำนวนนี้มีเด็กราว 3.6 แสนคนที่ครอบครัวมียอดหนี้เกินสินทรัพย์ที่ครอบครัวมีไปแล้ว โดยกลุ่มที่น่าเป็นห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้น้อยสุด 20% ล่างของประเทศ เพราะหนี้ส่วนใหญ่ของพวกเขาเป็นหนี้เพื่อการบริโภค นั่นคือการกู้ยืมมาเพื่อกินอยู่ใช้จ่าย ไม่ใช่หนี้ที่จะให้ดอกผลในอนาคตอย่างหนี้บ้านหรือหนี้การศึกษา
รายงานนี้ยังบอกอีกว่า เด็กที่ครอบครัวที่มีหนี้ มีความเครียดมากกว่าและมีแนวโน้มทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยมากกว่า เมื่อยังไม่มีวุฒิการศึกษาสูงนัก พวกเขามักได้งานที่ใช้ทักษะต่ำ ค่าจ้างน้อย หรือทำงานในแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งไม่ได้รับสวัสดิการและการคุ้มครองที่เหมาะสม
เมื่อทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย ก็มีเวลาพักผ่อนน้อย ไม่สามารถโฟกัสกับการเรียนได้เต็มที่ เมื่อมีความเครียดสูงก็อาจเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตตามมา
หากตัดสินใจออกจากการเรียนกลางคัน ทำให้ไม่มีวุฒิการศึกษา ก็พลาดโอกาสที่จะเข้าถึงงานที่มั่นคงและรายได้ที่สูงขึ้นในอนาคต อาจกล่าวได้ว่า พวกเขากำลังจ่ายหนี้ของผู้ใหญ่ในบ้าน ด้วยโอกาสในอนาคตของพวกเขาเอง
เมื่อดูแลตัวเองเองไม่ไหว
เยาวชนจึงต้องกลายเป็นผู้ดูแล
ต่อให้รักษาสุขภาพแค่ไหน แต่ ณ ช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต เมื่อป่วยไข้หรือชราภาพ เราจะต้องพึ่งพาคนอื่นอย่างแน่นอน และมักจะเป็นคนในครอบครัว ถ้ามีคู่ชีวิตก็อาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่เขาก็คงเข้าสู่บั้นปลายชีวิตเช่นเดียวกัน
ถ้าหวังพึ่งลูกหลาน ก็แปลว่า จะขาดคนคนหนึ่งที่สามารถทำงานหาเงินเข้าบ้าน และดีไม่ดี ลูกหลานก็อาจจะอยู่ในวัยที่ต้องการการดูแลแล้ว อย่างที่จะเห็นได้มากขึ้นเรื่อยๆ คือลูกวัย 60 ดูแลพ่อแม่วัย 80 หรือถ้าจ้างคนมาดูแล นั่นแปลว่า คนที่ทำงานอยู่จะต้องหารายได้มากพอที่จะจ้างคนดูแลได้ กลายเป็นความกดดันเพิ่มไปอีก
ครั้งหนึ่ง แม่ค้าในตลาดแถวบ้านปรับทุกข์กับฉันว่า ต้องมาเปิดร้านขายของที่ตลาด แต่ก็ต้องดูแลแม่ที่ป่วยติดเตียงที่บ้านด้วย เลยติดกล้องวงจรปิดส่องแม่ไว้ เวลาอยู่ที่ร้านก็ดูภาพจากกล้องวงจรปิดในมือถือไปด้วย แต่ไม่เปิดร้านก็ไม่ได้ เพราะจะไม่มีรายได้เลี้ยงทั้งตัวเองและแม่ เป็นตัวอย่างของลูกหลานที่เลือกไม่ได้ระหว่างการหารายได้และดูแลคนในครอบครัว
ในหนังเรื่อง “หลานม่า” หลานชายผู้ไม่มีงานทำ ตัดสินใจดูแลอาม่าวัยชราด้วยความหวังว่าจะได้เงินมรดกจากการเล่นบทหลานกตัญญู เขาได้รับความผูกพันและความทรงจำที่มีความหมาย แถมเงินก้อนใหญ่ในบัญชีจากอาม่า แต่ในชีวิตจริง ตอนจบของลูกหลานที่รับบทบาทดูแลผู้สูงอายุในบ้านอาจไม่สวยงามอย่างในหนัง ผู้ดูแลผู้ป่วยมักจะมีภาวะเหนื่อยล้า มีความเครียดสูงและอาจไม่ได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินใดๆ
ยิ่งในวัยรุ่น วัยเรียนแล้ว เขาอาจต้องละทิ้งความฝันของตัวเอง เหมือนเด็กสาวในบทความนี้ที่แม้จะภูมิใจที่ได้ดูแลพ่อ แต่การดูแลพ่อนั่นเองทำให้เธอต้องชะลอความฝันที่จะไปเรียนต่อไปเรื่อยๆ
ส่งท้าย
ฉันคิดว่าฉันโชคดีที่เกิดมาในยุคนี้ ยุคที่วิทยาการทางการแพทย์และสวัสดิการสุขภาพทำให้คนไทยอายุยืนยาวขึ้น แต่หากอายุที่ยาวขึ้นนั้นตั้งอยู่บนการพึ่งพาคนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างหนักหน่วง จนพวกเขาไม่สามารถมีความฝัน มีเวลาพักผ่อน หรือมีเงินออมของตัวเอง ความโชคดีนี้กำลังกลายเป็นความโชคร้ายสำหรับเด็กและเยาวชนในยุคต่อไป
เรื่องราวของน้องทั้งสองคน และพี่แม่ค้าแถวบ้านฉัน วันหนึ่ง มันอาจจะกลายเป็นเรื่องของลูกเราหรือคนใกล้ตัวเราก็เป็นได้
น่าคิดอย่างยิ่งว่า เราจะต้องเตรียมการอย่างไรเพื่อใช้ชีวิตในอนาคต เมื่อเราแก่ตัวลงและไม่สามารถดูแลตัวเองได้
รัฐจะต้องมีนโยบายและสวัสดิการแบบใด เพื่อให้ชีวิตที่ยืนยาวของคนไทยไม่เป็นภาระแก่คนรุ่นต่อไป ไม่เป็นการหยิบยืมอนาคตของเด็กและเยาวชนไทยมาใช้ล่วงหน้า
เพราะแค่ผู้สูงอายุไทย “แก่ก่อนรวย” ก็แย่พอแล้ว ฉันหวังว่าเด็กไทยคงจะไม่ต้อง “ซวยก่อนโต” ไปด้วย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แก่ก่อนรวย – ซวยก่อนโต
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th/weekly