โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

เปิด "8 ข้อห้าม" กองทุน BSF ตีกรอบผู้ออกหุ้นกู้ขอเงินอุ้มครบดีล

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 05 พ.ค. 2563 เวลา 06.22 น. • เผยแพร่ 05 พ.ค. 2563 เวลา 06.22 น.

สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ชี้แจงกรอบการลงทุนและบริหารความเสี่ยงของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) ที่ตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563

โดยคณะกรรมการกำกับกองทุน BSF มี นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ได้ออกประกาศเรื่อง นโยบาย แนวทางการดำเนินงาน กรอบการลงทุน และกรอบการบริหารความเสี่ยงของกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย. 2563 เป็นต้นไป

เกณฑ์เข้มเอกชนขอใช้ BSF

โดยประกาศดังกล่าว กำหนดขอบเขตการให้ความช่วยเหลือ หรือตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน (หุ้นกู้) ที่กองทุน BSF สามารถเข้าไปลงทุนได้ ดังนี้ 1) ต้องมีตราสารหนี้เดิมครบกำหนดและต้องการ rollover 2) ต้องจัดหาเงินทุนจากแหล่งอื่นให้ได้อย่างน้อย 50% ซึ่งประกอบด้วย จะต้องออกหุ้นกู้ใหม่ให้แก่ประชาชนทั่วไปอย่างน้อย 20% และต้องจัดหาเงินทุนจากสถาบันการเงินอย่างน้อย 20% 3) ต้องเป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ดีและมีความสามารถในการชำระหนี้ โดยได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิตเรตติ้ง) ตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป

ขณะเดียวกันยังวางกรอบการลงทุนในหุ้นกู้ของกองทุน BSF ประกอบด้วย 1) การลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยผู้ออกตราสารหนี้รายใดรายหนึ่งต้องไม่เกิน 3% ของวงเงิน 4 แสนล้านบาท 2) การลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยผู้ออกตราสารหนี้ที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งต้องไม่เกิน 10% ของ 4 แสนล้านบาท 3) การลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยผู้ออกตราสารหนี้ต้องไม่เกิน10% ของหนี้สินทางการเงินของบริษัท และ 4) การบริหารสภาพคล่องของกองทุนโดยการฝากเงินหรือลงทุน ให้เป็นไปตามคณะกรรมการลงทุนกำหนด

ตีกรอบ 8 ข้อห้าม “ผู้ออกหุ้นกู้”

นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวยังระบุถึงเงื่อนไขที่ “ผู้ออกตราสารหนี้ที่กองทุนลงทุนต้องปฏิบัติตาม” ตลอดระยะเวลาที่กองทุนถือครองหุ้นกู้ หรือกว่าจะไถ่ถอนอีกด้วย ซึ่งประกอบไปด้วย “ข้อห้าม” 8 ข้อด้วยกัน อาทิ ห้ามลดทุน ห้ามซื้อคืนหุ้นสามัญ ห้ามชำระคืนหนี้ก่อนครบกำหนด ห้ามให้โบนัสแก่กรรมการและผู้บริหารระดับสูง ห้ามจ่ายปันผล เป็นต้น

ตั้งรับครบดีลอีก 6.7 แสนล้าน

“วชิรา อารมย์ดี” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือน พ.ค.-ธ.ค. 2563 รวมทุกประเภทธุรกิจ มีประมาณ 670,000 ล้านบาท ซึ่งแยกประเภทธุรกิจหลัก ๆ ได้ดังนี้ ธนาคารและสถาบันการเงิน 220,000 ล้านบาท, อสังหาริมทรัพย์ 115,000 ล้านบาท, อาหาร 65,000 ล้านบาท และพลังงาน 59,000 ล้านบาท เป็นต้น ทั้งนี้ แนวโน้มต้นทุนการออกหุ้นกู้มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น จากผลประกอบการของบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบกับความต้องการลงทุนของนักลงทุนบางกลุ่มอาจปรับลดลง เช่น กองทุนประกันสังคม เป็นต้น เนื่องจากมีภาระค่าใช้จ่ายในการชดเชยการว่างงาน หรือประชาชนทั่วไปที่อาจมีรายได้ลดลง ส่งผลให้มีเงินออมลดลง

“ในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2563 นี้ มีหุ้นกู้ครบกำหนดรวมกันประมาณ 200,000 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นกู้ที่มีเครดิตเรตติ้งสูงกว่า A- ขึ้นไป ประมาณ 68% ของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดทั้งหมด และเป็นกลุ่ม BBB+ ถึง BBB- ประมาณ 22% ซึ่ง ธปท.จะมีการติดตามสถานการณ์ตลาดตราสารหนี้ที่จะมีการ rollover ของหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดอย่างใกล้ชิด”

BSF เป็นช่องทางสุดท้าย

นอกจากนี้ “วชิรา” กล่าวด้วยว่า แม้ว่าขนาดของกองทุน BSF ที่ตั้งไว้จะมีขนาด 4 แสนล้านบาท แต่ในเบื้องต้นคาดว่าความต้องการใช้เงินกองทุนจะไม่ได้สูงมาก เนื่องจากหลายบริษัทยังสามารถระดมทุนได้เอง ซึ่งหากระดมทุนจากตลาดตราสารหนี้ได้ไม่ครบทั้งจำนวน หลายบริษัทก็ยังมีช่องทางในการกู้เงินจากสถาบันการเงินอยู่ กองทุน BSF จึงน่าจะเป็นช่องทางสุดท้าย (last resort) ที่บริษัทจะเลือก เนื่องจากต้นทุนในการกู้ยืมจากกองทุน BSF จะสูงกว่าที่บริษัทจัดหาด้วยตัวเอง

ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท.คาดการณ์ว่า แนวโน้มความต้องการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนจะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภายใต้ความผันผวนจากเหตุการณ์โควิด-19 อาจส่งผลให้บางบริษัทไม่สามารถระดมทุนจากตลาดนี้ได้เหมือนช่วงก่อนเหตุการณ์โควิด-19

“แต่หากในอนาคตสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ธุรกิจต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ คาดว่าสถานการณ์การระดมทุนจะปรับดีขึ้นตามลำดับ” ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท.กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...