‘กอบศักดิ์’ ชี้ตลาดทุนไทยมีมุมมืด แนะทำความสะอาดเพิ่ม ฟื้นความเชื่อมั่น
‘กอบศักดิ์’ ชี้ตลาดทุนไทยมีมุมมืด แนะทำความสะอาดเพิ่ม-ฟื้นความเชื่อมั่น ชี้เราอยู่สบายมานานตอนนี้เริ่มเข้าสู่การล่องแก่งมรณะแล้ว
เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จัดงานสัมมนาแถลงแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2567 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) และกรรมการผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ร่วมสร้างและพัฒนาตลาดทุนเพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน” ว่า การที่คนนำเงินมาฝากไว้กับอะไรก็เป็นเพราะมีความเชื่อมั่น ว่าจะสามารถได้คืน ทำให้กรณีที่เกิดกับตลาดทุนไทย อย่างกรณีหุ้นมอร์ หุ้นสตาร์ค สะท้อนถึงเรื่องความเชื่อมั่นเหล่านี้ ที่หากมีปัญหาแบบนี้บ่อยๆ ความเชื่อมั่นและความมั่นใจของคนในตลาดทุนไทยจะค่อยๆ ลดลง และอาจมองว่าเครื่องบินที่เปรียบเหมือนตลาดทุน มีโอกาสตกลงเพิ่มขึ้นได้ 1% ทำให้คนไม่ขึ้นแล้ว หันไปขึ้นเครื่องบินลำอื่นของประเทศอื่นแทน เพราะขณะนี้นักลงทุนสามารถออกไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น โดยมองว่าอันนี้คือหัวใจของตลาดทุนไทย
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า เฟทโก้พยายามแก้ความกังวลในหุ้นขนาดเล็กที่มีปัญหาอยู่ตอนนี้ ผ่านโครงการขับเคลื่อนวิเคราะห์หุ้นตัวเล็ก ที่มีความยาก เพราะการวิเคราะห์ไม่คุ้มทุน จำนวนซื้อไม่มากนัก แต่ก็พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นหูเป็นตาให้กับนักลงทุนแทน เนื่องจากนักลงทุนบางครั้งก็ดูไม่ทัน จึงต้องเพิ่มทางเลือกที่พึ่งให้ นักลงทุนสามารถเชื่อถือจากข้อมูลที่แท้จริงและสามารถตรวจสอบได้ โดยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเข้ามาช่วยปิดจุดมืดของตลาดทุนไทยได้ เนื่องจากต้องยอมรับว่าด้านสว่างของตลาดทุนมีเยอะมาก แต่ด้านมืดก็มีเหมือนกัน ซึ่งจะต้องร่วมมือทำความสะอาด ทำให้ตลาดทุนไทยมีปัญหาน้อยลง ดึงความเชื่อมั่นกลับมามากขึ้น
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า สิ่งที่พยายามทำต่อจากนี้คือ การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับตลาดทุนไทย ที่มีความล้าสมัย และอาจไม่ทันเฉลียวใจที่มีความไร้สาระ แม้ ก.ล.ต.มีการกิโยตินไปจำนวนมากแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่ในอีกหลายระดับตั้งแต่องค์กรขึ้นไปถึงรัฐบาล ซึ่งกฎเกณฑ์เหล่านี้มีผลต่อการสร้างต้นทุนให้ผู้เล่นต่างๆ จึงถึงจุดแล้วที่จะต้องช่วยการลดกฎเกณฑ์เหล่านี้ เฟทโก้พยายามช่วยสนับสนุนการลดกฎเกณฑ์ผ่านการจ้างสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อรวมกฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย และควรทำความสะอาดได้ง่ายมากขึ้น
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ประเทศไทยมีแผนการทำงานเยอะมาก แต่การบริหารเพื่อให้เห็นผลสำเร็จยังไม่ดี จึงมองว่าจากนี้ต้องทำงานร่วมกัน เลือกเรื่องที่อยากให้เห็นผลมากที่สุดแล้วดำเนินการร่วมกันเป็นเรื่องๆ ก่อน เพราะความจริงมองว่าเราไม่ต้องทำทุกเรื่อง และเป็นไปไม่ได้ที่จะทำทุกเรื่องในแผนที่วางไว้ด้วย เพราะแผนงานกว้างขวางมาก ทำให้หากเราสามารถทำให้เสร็จได้ปีละ 5 เรื่อง หรือ 10 เรื่องได้ ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะเจริญได้แน่นอน โดยต้องมองถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกอนาคตในด้านต่างๆ อาทิ ธุรกิจสตาร์ตอัพ การนำสินทรัพย์ดิจิทัล มาเป็นพลังของประเทศไทยต่อไป
“ภาพทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และมีเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ในหลายประเทศ รวมถึงเรื่องโลกร้อน เป็นสัญญาณที่ชี้ถึงโลกกำลังเข้าสู่ดิสรัปทีฟอย่างชัดเจนมากขึ้น เราเหมือนกำลังล่องแก่งผ่านน้ำที่สบายๆ มานาน แต่ตอนนี้เริ่มเข้าสู่การล่องแก่งมรณะแล้ว เพราะหมายถึงความเป็นความตายของบริษัทและประเทศไทย โดยความจำเป็นคือ ต้องคิดว่าจะนำจุดแข็งข้างนอกมาเป็นของเราหรือไม่ เพราะบางครั้งเรามีปัญหาเรื่องการสร้างของของตัวเอง บริษัทเรายังเปลี่ยนช้าไป โดยเฉพาะในเชิงเทคโนโลยี และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่มีของน้อยเกินไป อาทิ ไทยมีนักวิจัยทั้งประเทศอยู่เพียง 1 หมื่นคนเท่านั้น เทียบกับบริษัทหัวเหว่ยที่มีนักวิจัย 6 หมื่นคน จากพนักงานทั้งหมด 8 หมื่นคน คำถามคือ จะสู้กับบริษัทเหล่านี้ต่อไปอย่างไร หากสร้างคนของเราไม่พอ ไทยอาจต้องตัดสินใจเปิดประตูให้กว้างขึ้นเพื่อรับคนเหล่านี้เข้ามาเพิ่ม” นายกอบศักดิ์กล่าว